วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2565

ปั้นคนเก่ง EP#33 ปัญหาว่าด้วยการกำหนดค่าแรง

 EP#33 ปัญหาว่าด้วยการกำหนดต้นทุนค่าแรง



นับว่าเป็นปัญหาโลกแตก ปัญหาไม้เบื่อไม้เมาสำหรับธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก เนื่องจากค่าแรงถึงว่าเป็นต้นทุนคงที่ (โดยส่วนใหญ่) ของกิจการที่มีความเฉพาะเนื่องจาก หาความเป็นมาตรฐานได้ยาก มีความผูกพันที่ต้องจ่ายทุกเดือน และลงเลิกใช้ง่ายๆ ไม่ได้ เนื่องจากมีกฎหมายรองรับในการดูแลลูกจ้าง 


#มุมมองที่ย้อนแย้งกันระหว่างนายจ้าและลูกจ้าง

ด้านของนายจ้าง

โดยทั่วไปนายจ้างมีความต้องการจ้าลูกจ้างมาเพื่อช่วยงานใในกิจการของตัวเองที่ทำคนเดียวไม่ไหว ต้องการหลายๆ คน หลายๆ ความรู้มาทำงานแทนตัวเอง เป็นหลักพื้นฐานที่สุดของการจ้างแรงงาน แต่ว่า การจ้างแรงงานหลายคนกลับเข้าใจผิดว่า ต้องจ้างด้วยค่าแรงต่ำๆ เพื่อให้ได้กำไรมากๆ 

แต่ก็มีนายจ้างอีกหลายๆ คนที่มีความคิดที่ต่างออกไป คือ จ้างเงินเดือนแพงๆ เพื่อให้ได้คนเก่งๆ มาอยู่กับธุรกิจและจะได้เป็นแรงจูงใจในการอยู่ต่อ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีความเสี่ยงว่า ถ้าลูกจ้างคนนั้น ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามที่ต้องการจะกลายเป็ฯต้นทุนที่ไม่คุ้มค่า

สำหรับนายจ้างที่มีลูกจ้างที่มีฝีมือแล้วจงดูแลพวกเขาให้ดี เพราะคนเหล่านี้จะเป็นกำลังขับเคลื่อนที่สำคัญของการทำงานและการพัฒนาธุรกิจ

แล้วนายจ้างต้องทำอย่างไร หละถึงจะจัดการกับปัญหานี้ได้

*ทำความเข้าใจว่าคนที่มาทำงาน เป้าหมายหนึ่งที่สำคัญคือเรื่องของเงินเดือนหรือค่าจ้าง ถ้านายจ้างไม่จ่ายค่าจ้าง เค้าก็ไม่รู้ว่าจะมาทำงานอย่างไร

*หาวิธีวัดมูลค่าของงานให้ได้เพื่อกำหนดค่าจ่างที่เหมาะสม ซึ่งมีหลายแนวคิ เช่น แนวคิดเรื่องการทดแทร ถ้าไม่มีลูกค้าแล้ว เราต้องทำงานนั้นเอง เราคิดค่าแรงตัวเองเท่าไหร่เอามาเป็นพื้นฐานในการพิจารณา หรือ แนวคิดเรื่องการเพิ่มขึ้นของรายได้ เช่น เมื่อมีลูกจ้าคนนี้แล้ว ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ เอามาเป็นฐานในการพิจารณา

*เลือกคนที่ทัศนคติที่เข้ากันได้กับนายจ้าง เพราะคนที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันจะทำงานด้วยกันยาก ถ้าเริ่มต้นแล้วคุยกันไม่รู้เรื่องอย่าทำงานเสียดีหว่า ซึ่งส่วนนี้ อาจจะได้จากทดลองงาน การให้แสดงพฤติกรรมอะไรก่อนที่จะเป็นการจ้างงานเต็มรูปแบบ หรือ รับนักศึกษาฝึกงานด้วย

*พึงระลึกไว้ว่าค่าจ้างแพงๆ ไม่ใช้แรงจูงใจทั้งหมดของลูกจ้าง แต่การแสดงถึงภาวะผู้นำและการเอาใจใส่ดูแลกลับสามารถรักษาคนเก่งเอาไว้ได้บนค่าจ้างที่พวกเขาอยู่ได้และเหมาะสม


ด้านของลูกจ้าง

แน่นอนว่าเ

เงินเดือนแพงๆ ค่าจ้างสูงๆ ใครก็อยากได้ ซึ่งแน่นอนว่า ค่าจ้างแพงต้องแลกมาด้วยมูลค่างาน ปัญหาอยู่ที่ว่า การทำงานที่หลายคนคิดว่าแพง วัดกันที่ค่าความเหนื่อยมากกว่าวัดกันที่ค่าของเนื้องานที่แท้จริง การทำงานแบบเอาแรงเข้าแรก แต่ได้มูลค่าน้อย ลูกจ้างจำนวนมากบอกว่า ไม่คุ้มค่า ซึ่งก็จริง ไม่คุ้มกับความเหนื่อยที่หายไป ซึ่งลูกจ้ามีทางเลือกได้ 2 ทางคือ หางานที่มีการจ่ายค่าแรงเพิ่มขึ้น หรือ ทำงานให้ใช้แรงน้อยลงแต่ได้งานเท่าเดิม

ปัญหาอีกเรื่องหนึ่งของลูกต้างคือ ปัญหาด้วยรักแต่ไม่เข้าใจ เป็นเสียงบ่นมากมายว่า ค่าจ้างถูกๆ แต่ให้ทำงานหนักๆ ช่วยจ่ายค่าจ้างแพงๆ ก่อนได้มั้ย จะทำงานให้หนักขึ้น อันนี้น่าจะเป็นแนวทางที่ยังไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก เพราะนายจ้างก็จะถามกลับมาว่า ถ้าจ่ายให้แล้วไม่ได้ผลงานตามที่ตั้งไว้จะให้ทำอย่างไร เงินเดือนก็ลดไม่ได้ ไล่ออกก็ลำบาก เป็นความเสี่ยงของนายจ้าง แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังทำงานกันต่อไป ด้วยรักแต่ไม่เข้าใจ

วิธีการแก้ปัญหา

*ลูกจ้างพัฒนาตัวเองตลอดเวลาให้รู้ว่าเราต้องเก่งอะไรเพิ่มขึ้น เลิกเงอาแรงเข้าแลก แต่เอาประสิทธิภาพเข้าสู้

*มีความคิดเชิงบวก ถ้าไม่ได้รับค่าตอยแทนที่เหมาะสมกับองค์กรนี้ องค์กรอื่นย่อมเห็นคุณค่าแน่นอน เรายังมีที่ไปเสมอ

*เวลาทำงาน ให้ทำอย่างเต็มที่ลืมเรื่องเงินไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวเงินจะตามมาเอง


ปัญหาโลกแตกเรื่องการกำหนดค่าจ้าง เป็นเรื่องที่ต้องปรับเข้าหากันของทั้งลูกจ้างและนายจ้าง ไม่มีใครที่ต้องปรับเข้าหากันอย่างเดียว และสุดท้ายคือการออกแบบระบบงานทำงานและการวัดผลการทำงานที่เหมาะสมกับงานแต่ละประเภท เพื่อให้ทุกฝ่ายรู้ว่าตัวเองได้รับความยุติธรรมทั้งค่าจ้างและผลงาน

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2565

ปั้นคนเก่ง EP#32 ปัญหาเรื่องโครงสร้างต้นทุน

 EP#32 ปัญหาว่าด้วยเรื่องโครงสร้างต้นทุน



ความเดิมจากตอนที่แล้วที่พูดเรื่องปัญหาของต้นทุนที่มองไม่เห็นไว้ สิ่งนี้จะส่งผลมายังปัญหาอีกเรื่องหนึ่งคือ ปัญหาที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว โครงสร้างต้นทุนมีอะไรบ้าง


#อะไรคือโครงสร้างต้นทุน

โครงสร้างต้นทุนหมายถึง สัดส่วนของต้นทุนที่ต้องจ่ายไปยังต้นทุนประเภท หรือ รายการต่างๆ ของสินค้าและบริการ 1 หน่วย มีต้นทุนอะไรบ้าง เหมือนกับตึกสูงหนึ่งตึก มีหลายๆ ชั้น และแบ่งว่าแต่ละชั้นเป็นโซนที่เกี่ยวกับอะไรบ้าง เช่น 3 ชั้นล่างสุด เป็นศูนย์การค้า 3 ชั้นต่อมาเป็นสำนักงาน 2 ชั้น เป็นโรงหนัง อีก 15 ชั้นที่เหลือ เป็นที่อยู่อาศัย

ต้นุทนเองก็เหมือนกัน จะสามารถแบ่งออกเป็นชั้นๆ หลายๆ ประเภทเช่นเดียวกัน


#ปัญหาของโครงสร้างต้นทุน

ปัญหาของโครงสร้างต้นทุนมี 2 เรื่อง

เรื่องแรก ไม่รู้ว่ามีกี่รายการที่อยู่ในโครงสร้างต้นทุน และเรื่องที่ 2 ไม่รู้ว่าโครงสร้างต้นทุนคำนวณอย่างไร


การไม่รู้ว่ามีกี่รายการเกิดจากต้นทุนที่มองไม่เห็นเปรียบเสมือนตึกที่สร้างมาแล้วมีพื้นที่ไม่พอต่อการใช้งาน สุดท้ายต้องไปเบียดบังต้นทุนชนิดอื่นเพื่อเอามาชดเชย เหมือนตึกที่ต้องมีคนมาอยู่กันอย่างหนาแน่น จะขยับตัวอะไรก็กระทบกันไปหมด เหมือนกับต้นที่ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงก็จะกระทบกันไปหมดเช่นกัน แย่ที่สุดก็คือการขาดทุน


การไม่รู้ว่าโครงสร้างต้นทุนคำนวนอย่างไร เหมือกับการออกแบบตึกที่มีวิธีการวางตึกผิดที่ผิดทาง การทำงานก็จะเกิดความสับสนในการทำงาน การเคลื่อนที่ ซึ่งทำให้เราไม่รู้ว่า ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกำลังอยุ่ในค่าใช้จ่ายส่วนไหนกันแน่ และยังอยู่ในกรอบของต้นทุนที่เราสามารถจัดการได้หรือไม่ ซึ่งเจ้าของธุรกิจ ต้องสามารถหาต้นทุนที่แท้จริงในแต่ละหน่วยของสินค้าและบริการให้ได้ ด้วยต้นทุนคงที่เฉลี่ย และต้นทุนผันแปรเฉลี่ยต่อหน่วย (ฟังดูเริ่มยาก) 


การรู้โครงสร้างต้นทุนที่แท้จริง ว่ามีกี่รายการ และแต่ละรายการมีต้นทุนเท่าไหร่ จะช่วยให้เจ้าธุรกิจรู้ว่ามิธีการรับมือกับต้นทุนที่คาดไม่ถึง หรือเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้มากยิ่งขึ้น เหมือนกับ ตึกที่ออกแบบดี จะรับแรงแผ่นดินไหวได้ดีกว่าตึกที่ออกแบบไม่ดี 


ดร.นารา

ที่ปรึกษาการแก้ปัญหาทางธุรกิจและการออกแบบระบบการจัดการธุรกิจ

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565

ปั้นคนเก่ง EP#31 ปัญหาว่าด้วยต้นทุนที่มองไม่เห็น

 #ปัญหาว่าด้วยต้นทุนที่มองไม่เห็น



เวลาเราขายของแล้วดูเหมือนจะมีกำไร แต่พอหักค่าใช้จ่ายเข้าจริงๆ แล้วพบว่าขาดทุน หรือมีกำไรน้อยกว่าที่คาดการณ์เอาไว้เยอะเลย นั่นแสดงว่าต้องมีบางอย่างที่ผิดพลาด โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่เราคาดการณ์ไม่ถึง และสิ่งนี้เราเรียกว่าต้นทุนที่มองไม่เห็น ไม่เห็นยังไง 


ไม่เห็นตอนที่ทำหรือวางแผน แต่มาโผล่ตอนจ่ายเงิน แบบนี้ก็เดือนร้อน ปัญหานี้เกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่ๆ คือ 

1. ไม่มีประสบการณ์ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับการทำงานในธุรกิจนี้ ทำให้เกิดต้นทุนที่มองไม่เห็นจากการไม่มีประสบการณ์

2. มีความซับซ้อนของธุรกิจสูงจนต้นทุนบางอย่างมีความทับซ้อนกันแยกไม่ออกและเกิดการใช้จ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพโดยไม่รู้ตัว จึงเกิดต้นทุนที่มองไม่เห็นได้เช่นเดียวกัน


บทความนี้จะอธิบายแบบแรกก่อนเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน โดยเฉพาะองค์กรที่มีความซับซ้อนสูง ยิ่งสับสนสูง หากว่า เราเข้าใจว่าในการทำธุรกิจของเราต้องจัดการอย่างไรทีละส่วนได้ เมื่อเราเอามารวมกันก็จะสามารถทำความเข้าใจและจัดการได้ดีมากยิ่งขึ้น เพราะเราสามารถคิดแะลตัดสินใจได้ทีละเรื่อง เราจึงไม่ควรเอาทุกอย่างมาจัดการพร้อมกัน เพรามันจะไม่ได้ผล


#มองหาต้นทุนที่มองไม่เห็น

ต้นทุนที่มองไม่เห็นไม่สามารถมองด้วยตาเนื้อ แต่มองด้วยตา (ใส่) ใจ ใส่ใจในขั้นตอนและกิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจของเรา เราต้องดึงรายการกิจกรรมทั้งหมด ต้องแต่การผลิต การเคลื่อนย้าย การเก็บรักษา การวาง รวมไปถึงกระดาษชิ้นเล็กๆ ที่ต้องเอามาใช้ เพราะทุกอย่างเป็นต้นทุน ถ้าเราเริ่มใส่ใจตรงนี้ จะทำให้รู้ว่าต้นทุนในการดำเนินตามกิจกรรมตามปกติอยู่ที่ไหนบ้าง เป็นต้นทุนเท่าไหร่ อะไรเป็น Fixed Cost และอะไรเป็น Variable Cost 


นอกจากเราใช้ตาใจแล้ว เรายังต้องใช้ตาทิพย์อีก มองหาสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดแต่มันจะเกิดขึ้นได้ เช่นเรื่องของอุบัติเหตุ เรื่องการแข่งกันลดราคา การถล่มโปรโมชั่น เป็นต้น สิ่งเหล่านี้มักจะไม่ค่อยอยู่ในแผนของการดำเนินงานเท่าไหร่ พอเกิดขึ้นแล้ว เราจะกลายเป็นสภาวะตกใจ จึงทำให้ต้องรีบดำเนินการอะไรบางอย่างจนลืมไปว่า สิ่งที่ทำอยู่นี้ เราทำแล้วได้อะไร เช่น เห็นคนเค้าลดราคา เราก็รีบลดราคาตามไปบ้าง โดยลืมไปว่า ต้นทุนของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราเห็นแต่ว่า ต้นทุนฝันแปรเราได้ ก็ขายเลย แต่ลืมเงินเดือนพนักงาน ค่าน้ำค่าไป และค่าอื่นๆ จิปาถะ สิ่งที่เราลดราคานั่นแหละคือต้นทุนที่มองไม่เห็น 


#แก้ยังไงดี

ขั้นตอนที่ 1 นอกจากการใช้ตามองแล้ว เราต้องใช้สมองคิดเผื่อไปด้วย ในการธุรกิจสิ่งที่สำคัญมากคือส่วนต่างราคาที่จะกันสำรอไว้เป็น Buffer (กันชน) ในเวลาวิกฤติ เช่น ราคาขาย 100 ต้นทุน 50 หักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วเฉลี่ยอีก 20 เรากำไร 30 ใช่หรือไม่ ตอบเลยว่า ไม่ใช่ เพราะต้องต้องกันเงินส่วนหนึ่งเอาไว้ประมาณ 5-10% หรือมากกว่านั้น ถ้างานมีความเสี่ยงสูง หรือมีความผันผัน หรือ แข่งขันกันสูง เพื่อเอาส่วนนี้มาช่วยจัดการในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เงินก่อนนี้ ถึงเวลาที่ต้องใช้ จะเหมือนมีเทวดาลงมาช่วย เช่น คนงานเกิดอุบัติเหตุต้องไปทำการรักษาพยาบาล ดังนั้น เมื่อมีเงินสำรองยามฉุกเฉิน ซึ่งเป็นต้นทุนที่มองไม่เห็น ก็จะช่วยทำให้ธุรกิจไม่ขาดเงินสดในมือ และมีเงินที่สามารถดำเนินการตามปกติได้ต่อไป


ขั้นตอนที่ 2 จดบันทึกรายการเงินสดทั้งหมด เพื่อให้รู้ว่า ในการดำนินงานนั้น เกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจ เพื่อทำเป็นประวัติของต้นทุน โดยเก็บทุกรายละเอียด ย้ำว่าเก็บทุกรายละเอียด เมื่อเราจดบันทึกไประยะหนึ่งแล้ว เราจะเริ่มเรียนรู้ว่า มีต้นทุนอะไรบ้างที่ใช้เป็นประจำ อะไรนานามาที ต้นทุนแต่ละส่วนใช้เท่าไหร่ ถึงตรงนั้น เราจะเข้าใจมากขึ้น แต่ถ้าเราไม่จด ใช้แต่จำ เดี๋ยวก็หมด แล้วเราก็ลืม สุดท้าย เราก็ประมาณการไม่ถูกว่าต้นทุนที่มองไม่เห็นเป็นเท่าไหร่กันแน่


ต้นทุนที่มองไม่เห็น เป็นปัญหา เป็นฝันร้ายของใครหลายๆ คนที่เกิด สุดท้ายก็ขาดทุน หรือหาคำตอบไม่ได้เงินสดหายไปไหนหมด เราต้องมองเห็ฯต้นทุนก่อนที่มันจะซ่อนตัวด้วยการใส่ใจ และจดบันทึกในรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน


ดร.นารา