วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ประเทศไทย อิสราเอล เกาหลี และ 500,000 (ล้าน) บาท

 เมื่อประเทศต้องการพายุหมุนทางเศรษฐกิจ?


จากเหตุการณ์ของแรงงานไทยไปประเทศอิสราเอลจำนวนมากหลักลายหมื่นคน เป้าหมายของแรงงานเหล่านี้ ต่างมุ่งหวังว่า จะไปได้รายได้ค่าแรงเพื่อไปทำงานในภาคการเกษตรของประเทศอิสราเอลหลักแสนบาทต่อเดือน ในขณะที่เหตุผลของประเทศอิสราเอลบอกว่า แรงงานไทยมีฝีมือในภาคการเกษตรจึงเหมาะสมกับการจ้างงาน

นั่นแสดงว่า คุณภาพของแรงงานไทยมีคุณภาพที่ดีในสายตาของชาวโลก แต่ทำไม พวกเขา ไม่สามารถหารายได้ในประเทศไทย ที่เราบอกว่าเป็นประเทศที่มีความน่าอยู่ ปัญหาอย่างหนึ่งของไทยคือ หน่วยธุรกิจของประเทศจำนวนมาก ยังติดกับการใช้รูปแบบการผลิตแบบเดิม ที่ยังเน้นการใช้แรงงานเป็นหลัก ดังนั้น ต้นทุนจำนวนมากของการผลิตประเทศไทย จะอยู่ที่แรงงาน และค่าขนส่ง วิธีการที่จะทำให้เกิดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจในประเทศไทยง่ายที่สุดคือ การลดราคาแรงงาน ซึ่งเรายังผูกกับ แรงงานขั้นต่ำที่ 300 บาท และพยายามจะไม่ให้ขึ้นมากกว่านี้ และทำไม อิสราเอล และเกาหลี ถึงสามารถจ้างแรงงานไทยได้หล่ะ ทั้งที่ เป็นคนเดียวกัน ความรู้เท่ากัน คำตอบคือ การใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างผลิตภาพการผลิต

ประเทศไทยเราขาดการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต การจัดการ และการใช้เทคโนโลยีในการลดต้นทุนแรงงานต่อหน่วยการผลิต จริงๆ คือการเพิ่มจำนวนการผลิตต่อแรงงานเท่าเดิม

การแจกเงิน 500,000 ล้านบาท จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าเศรษฐกิจเท่าไหร่ คำตอบคือน่าจะไม่เยอะ เพราะปริมาณเงินในประเทศ เกินกว่า GDP ไปแล้ว นั่นแสดงว่า มีปริมาณเงินล้นประเทศ การเพิ่มจำนวนเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจอีก ก็จะไม่ช่วยอะไรในการกระตุ้นเศรษฐกิจเท่าไหร่นัก เนื่องจากตัวทวี หรือจำนวนรอบของเงิน อาจจะหมุนไม่ถึง 2 รอบ ปัญหาจริงๆ ของไทย อยู่ที่ การกระจายรายได้มากกว่า เพราะธุรกิจขนาดใหญ่ มีขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยี และมีแหล่งเงินในการใช้พัฒนาขีดความสามารถตลอดเวลา อีกทั้ง เมื่อมีขนาดใหญ่แล้ว ยังมีการประหยัดต่อขนาดใหนารผลิต

ในทางกลับกัน ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง หรือ SME มีเงินทุนจำกัด จึงต้องใช้แรงงานเข้ามาทดแทนการใช้เครื่องจักรในการผลิต ในขณะที่แรงกดดันของโลกอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะทุนใหญ่จากต่างประเทศที่มีวิธีการผลิตขั้นสูง เช่น จากทางจีน มีเครื่องจักร และสามารถผลิตเครื่องจักรเองได้ ทำให้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีทางด้านอตสาหการต่างๆ หรือ ในหลายประเทศ มีเทคโนโลยีทางด้านดิจิตัล สามารถผลิตระบบการประมวลผลขั้นสูงต่างๆ อย่างพวก AI ได้ มีเงินพร้อมลงทุนกับ Start Up เพื่อเก็บเกี่ยวโอกาสที่มองไม่เห็นต่างๆ

ตัดกลับมาที่ประเทศไทย อะไรทำให้ประเทศไทยติดกับดักรายได้ปานกลางนานมาเกินกว่า 20 ปี เรียกว่ารายได้แทบจะไม่ขึ้นเลย แต่เงินเฟ้อขึ้นไปแบบเงียบๆ นิ่มๆ อย่างน่ากลัว ก็เพราะเรายังขนาดเทคโนโลยีต้นน้ำจริงๆ เราไม่สามารถผลิตเครื่องจักรเองได้เลย อย่างรถยนต์ เราเป็นแหล่งผลิตรถที่ใหญ่มากของโลก แต่ เราไม่มียี่ห้อรถของตัวเอง เรามีรถที่ผลิตได่หลากหลายรุ่น แต่เราไม่มีเครื่องจักรผลิตรถที่สร้างเองได้ เราสามารถดัดแปลงรถยนต์ได้ แต่เราไม่สามารถสร้างเครื่องมือดัดแปลงได้ 

ในด้านเทคโนโลยีดิจิตัล ประเทศไทยยังไม่มีบริษัทที่สร้างแอพ หรือแพลตฟอร์ม แล้วไปขายอยู่ในต่างประเทศ มีแต่แอพที่ใช้เองในประเทศ SME ของเราก็ยังใช้ระบบเดิมในการผลิตและการบริหาร แม้ว่าสินค้าเราจะมีคุณภาพ แต่ก็เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่ราคาไม่แพง มันช่างดูย้อนแย้งกันที่สุด

 

เงิน 500,000 ล้านบาท ทำอะไรได้บ้าง

 

เงินจำนวนนี้ ถึงส่าเป็นเงินขนาดมหึมา ถ้านำมาใส่ในการพัฒนาคน พัฒนาเทคโนโลยีในการจัดการ การผลิต และการขนส่งให้กับธุรกิจขนาดกลาง เพื่อให้เกิดผลิตภาพที่สูงขึ้น เน้นว่า ผลิตภาพที่เป็นผลิตภาพต่อแรงงาน เพื่อให้สัดส่วนของค่าแรงลดลง ตัวอย่างง่ายๆ การทำถนน ทุกวันนี้ เรายังใช้แรงงานคนในการผูกเหล็กเพื่อสร้างถนนอยู่เลย และหากต้องการสร้างถนนยาว 500 กิโลเมตร จะต้องใช้แรงงานเท่าไหร่ หรือ การซ่อมถนน ที่ต้องใช้คนเข้ามาจัดการจำนวนมาก ทำให้เวลาในการทำงานต้องเพิ่มขึ้น นานขึ้น ต้นทุนสูงขึ้น แรงงานัยงไม่สามารถใช้เครื่องมือทันสมัยในการก่อสร้างได้ ซึ่งนั้นคือปัญหา

 

เงินเหล่านี้ เอามาสร้างคุณภาพแรงงานที่สามารถใช้เครื่องมือต่างๆ เอามาให้ SME กู้เพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิต เอามาฝึกอบรมให้เกิดการใช้ IT และ Digital ได้มากมาย และยังสามารถเอามาใช้ในการพัฒนาระบบการแพทย์ เพื่อให้แพทย์ทำงานได้ดีขึ้น ครอบคลุมคนได้มากขึ้น และให้ทำงานน้อยลง มีสวัสดิการกับคนทำงานทั้งประเทศในราคาที่ถูกลง

500,000 ล้านยังทำอะไรได้อีก

เอามาพัฒนาบริษัทการเกษตรไฮเทคต้นแบบ เรียบแบบอิสราเอล แล้วนำกำไรที่ได้จากบริษัทเหล่านี้ ไปต่อยอดการลงทุนให้เกิดการการตั้งบริษัทใหม่ๆ เพื่อเรียกร้องให้คนรุ่นใหม่เข้าสู่ภาคการเกษตร ให้เกิดความมั่นคงทางอาหารของประเทศ เนื่องขากทุกวนนี้ การทำนาของประเทศไทย ยังคงเหมือนเดิมเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ต่างแต่เพียง มีเครื่องจักรเบา และสารเคมีที่เพิ่มขึ้น การเกษตรยังไม่เคยใช้ Digital Tech มาใช้งานเลย รวมถึงการสร้างระบบ อุปทานสาระสนเทศ เรียกง่ายๆ ว่า การทำฐานของมูลดิจิตัล เพื่อให้รู้ว่า ทุกตารางเมตรในการเกษตรปลูกอะไร ผลิตอะไร จะออกมาเท่าไรไหร่ ราคาจะเป็นอย่างไร ซึ่งมันสามารถพยากรณ์ได้หมด กลายเป็น Big Data

ทั้งหมดนี้ ได้แต่ภาวนา ให้เงิน 500,000 ล้าน เกิดประโยชน์กับชาติ และไม่เอาไปละเลงหายไปกับสายลมและกาลเวลา

 

ดร.นารา กิตติเมธีกุล


วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2566

สิทธิ เสรีภาพ และความรับผิดชอบ

 


การบริหารคนในองค์กร หรือการบริหารคนในสังคม ต้องมีสิ่งหนึ่งที่อยู่ควบคู่กันคือการใช้กฎ ระเบียบ ข้อตกลงเป็นการควบคุมพฤติกรรมการอยู่ร่วมกันให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ ซึ่งแน่นอนว่า กฎ ระเบียบ ข้อบังคับจะเป็นการลดทอนเสรีภาพบางอย่างของมนุษย์ไปด้วย แต่ถึงกระนั้น กฎก็ยังจำเป็นในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์อยู่ดี เพียงแต่ว่า ในแต่ละชุมชน สังคม หรืประเทศจะยอมรับกฎระเบียบต่างๆ ไว้ได้อย่างไร

ผู้บริหารที่ชาญฉลาดต้องทำเข้าใจกับเรื่องนี้ เพื่อให้สามารถควบคุมชุมชนให้อยู่ในพฤติกรรมที่เหมาะสม เหมาะสมกับการพัฒนาองค์กร เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ ของแต่ละชุมชนนั้นๆ ซึ่งปัจจัยพื้นฐานของคงอยู่ของชุมชน สังคมคือ สิทธื เสรีภาพ และความรับผิดชอบ

สิทธิ หมายถึง การได้มีอำนาจของคนเหนือในบางสิ่งบางอย่าง หรือ การที่บุคคลควรได้รับอะไรบางอย่างที่เป็นสิ่งที่บุคคลนั้นสามารถตัดสินใจเองได้ เช่น สิทธืการมีชีวิต หมายถึง บุคคลมีอำนาจเหนือตนเองในการเลือกมีชีวิต เลือกการใช้ชีวิต คนอื่นไม่ควรมาตัดสิดสินในการยติการมีชีวิตได้ สิทธิในแสดงความคิด้ห็น หมายถึง บุคคลย่อมมีอำนาจต่อเหนือความคิดของตนเอง และสามารถนำเสนอออกมาให้คนอื่นได้รับรู้ได้ว่า ตนเองนั้นคิดอย่างไร การที่บุคคลมีสิทธิมากขึ้น นั่นแสดงว่าบุคคลย่อมมีอำนาจมากขึ้นตามไปก้วย จึงไม่ต้องแปลกใจว่า สังคมปัจจุบัน มีความพยายามเรียกร้องสิทธิมากขึ้น ไม่ว่าจะเป้นสิทธิในการแสดงออกทางการเมือง สิทธิในการเติบโตทางการอาชีพของสตรี สิทธิในการปกป้องความปลอดภัยของตัวเอง ซึ่งขริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องด้วยที่คนหรือบุคคลจะได้รับสิทธิเหล่านั้น แต่การที่มีสิทธิมากการเกินไป ก็ใช่ว่เป็นเรื่องที่ดีเสมอไป และการที่มีสิทธิมากๆ เท่ากับมีเสรีภาพมากขึ้นตามไปด้วย

เสรีภาพ หมายถึง พื้นที่ปลอดภัยของตนเองและผู้พื้นที่เราสามารถใช้สิทธิในการแสดงออกได้อย่างเต็มที่ คำว่าพื้นที่ปลอดภัยหมายความว่า เสรีภาพที่แท้จริงไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรก็ได้ในโลกนี้ แต่หมายถึงทำอะไรก็ได้ที่ไม่กระทบต่อเสรีภาพของคนอื่น นั่นหมายความว่า คนเราจะสามารถใช้เสารีภาพได้อย่างเต็มที่ ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจสิทธิของคนอื่น และของตนเองอย่างเต็มที่เช่นกัน และข้อมที่สำคัญคือ เราต้องเข้าใจสิทธิของคนอื่นก่อน เพื่อให้รู้ว่าพื้นที่ไหน เป็นพื้นที่ห้ามไปล่วงละเลิดคนอื่น เช่น การที่เราไปพูดพาดพิงในการแสดงออกทางความความคิดเห็นนั้น จะต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ทำให้คนอื่นสูญเสียอำนาจและเสรีภาพ หรือการที่ดราจะไปจอดรถในพื้นที่ส่วนกลาง ก็ต้องรู้ว่า การจอดรถนั้น ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะพื้นที่ส่วนกลางหมายถึง เป็นพื้นที่ทุกคนเป็นเจ้าของ ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำอะไรก็ได้กับพื้นที่ส่วนกลาง เพราะพื้นที่ส่วนกลางมีไว้เพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์จากพื้นที่ส่วนนั้น เมื่อเราเข้าใจสิทธิของคนอื่น จึงมาทำความเข้าใจสิทธิของคนเอง ว่าเราทำได้มากน้อยแค่ไหน

 หากเราเปรียบเทียบเสรีภาพได้กับร่างกายของเรา เสรีภาพเหมือนกับขอบเขตที่เราทำอะไรก็ได้ตามสิทธิ์ ภายใต้แขนที่เรากางออกไปถึงเท่านั้น ไกลกว่าแขนของเราก็ไม่ใช่เสรีภาพของเรา แต่เมื่อแขนของเราไปสัมผัสกับใครหรืออะไรเข้าเราต้องหดมือเข้ามา นั่นมหมายความว่า เสรีภาพของเราก็มีพื้นที่จำกัดด้ยเช่นกัน!!!

ความรับผิดชอบ เป็นราคาของสิทธิและเสรีภาพ ความรับผิดชอบเป็นการตอบสนองต่อการการทำของตนเอง ต่อหน้าที่ของตนเอง และต่อบุคคลรอบข้างที่รับผลกระทบของตนเอง ความรับผิดชอบ แบ่งออกได้เป็นสองส่วนคือ ความรับผิด และความรับชอบ ความรับผิดหมายถึง รับผลที่เกิดขึ้นจากการทำผิด หรือ การยอมรับผลกระทบที่เกิดขึ้ยจากการใช้สิทธิและเสรีภาพของเรา รวมไปถึงเราต้องไปจัดการผลกระทบด้วยตัวเอง ส่วนการรับชอบคือ การรับผลดีทางบวก และใช้ให้เกิดประโยชน์่อไปในอนาคต ความรับผิดชอบเป็นเรื่องที่สำคัญในการใช้สิทธิเสรภาพของคน

ในมุมของการบริหารคน ผู้บริหารต้องเรียนรู้ศิลปัการให้เสรีภาพที่เมหาะสม เพราะการให้มากเกินไป ก็จะเกิดฌอกาสการกระทำที่ไม่มีความรับผิดชอบ มีแต่จะเอาเสรีภาพเท่านั้น แต่ถ้าให้น้อยไป ก็จะเนการกดดัน และทำให้เกิดความเครียดหรือบางครั้งเรียกว่า การกดขี่ในสังคม ความพอดีของแต่ละแห่งก็จะแตกต่างกันไป ผู้นำ ผู้บริหาร ต้องเรียนรู้การออกแบบเสรีภาพแบบที่เหตุผล ที่สมาชิกของสังคมได้เข้าใจว่า การสละเสรีภาพของต้นเองไปนั้น จเปิดประโยชน์อะไรกลับมาเป็นการตอบแทน

ดร.นารา 


วันพุธที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2566

ทฤษฎีสมคบคิด มายาคติ และตรรกะเพี้ยน

  ในยุคของการสื่อสารที่มันง่าย ง่ายจนข้อมูลสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารทางตรงจากการที่ผู้คนมาเจอหน้ากัน การสื่อสารผ่านสื่อ ที่ทุกคนกลายเป็นผู้สื่อข่ายได้โดยง่ายผ่านสังคมออนไลน์ การสื่อสารด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ที่เรียกว่า AI ทำให้ปริมาณข้อมูลที่ส่งหากันเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในทุกปี 

จากข้อมูลของ กสทช ณ เดือน 12 ปี 2022 มีขนาดการใช้ข้อมูล (Bandwith) ภายในประเทศ 13,623.805 Gbps และต่างประเทศ 21,519.252 Gbps ในขณะที่ เดือน 12 ปี 2021 มีขนาดการใช้ข้อมูล (Bandwith) ภายในประเทศ 10,334.655  Gbps และต่างประเทศ 17,910.334 Gbps เพิ่มขึ้นมา 24.42% และอัตราการเพิ่มขึ้นแบบนี้ คงที่ตลอดทุกปี ส่วนหนึ่งมาจากเทคโนโลยีการสื่อสารที่สามารถส่งข้อมูลภาพและเสียงที่มีความละเอียดเพิ่มมากขึ้นได้ ส่วนหนึ่งก็มาจากทุกคนการเป็น Content Creator เอง และอีกส่วนหนึ่งก็เกิดจากเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องจักรเป็น Content Creator ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ควรจะเป็นในโลกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 

ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่า ข้อมูลที่เราได้รับ ส่งออก และส่งต่อนั้น เป็นข้อมูลที่มีความจริงมากน้อยแค่ไหนจึงอยากชวนมาทำความเข้าใจกับความจริงที่เกิดขึ้นกับข้อมูลนั้นเสียก่อน

ข้อมูลประเภทแรก เรียกว่า ข้อมูลแบบทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory) เป็นการอธิบายเหตุการณ์ใดๆ โดยการนำเหตุการณ์ต่างๆ มาประติดประต่อกัน เพื่อให้คนที่รับรู้เหิดความเชื่อ บางครั้งเชื่อเป็นตุเป็นตะกันไปใหญ่ และหลังผลบางอย่าง โดยเฉพาะหวังผลทางการเมือง เช่น ทฤษฎีโลกแตก ปี 2000 นำเหตการณ์ของโลกไปเชื่อมโยงกับคำภีร์ไบเบิ้ล หรือ ทฤษฎีอิลูมิเนติ ว่าคนกลุ่มหนึ่งในโลกต้องการสร้างโลกใหม่ในอุดมคติ แล้วไปเชื่อมกับตราสัญลักษณ์ต่างๆ ในประเทศไทยก็เกิดขึ้นมาเยอะ เช่นนักการเมืองคนนั้น คนนี้มีการดิลลับกับคนนี้ มีการชักใยอะไรอยู่เบื้องหลัง มีสัญลักษณ์นู่นี่น้่นออกมา เป็นการประกาศให้พวกพ้องให้เค้ารู้กัน แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เค้าประชุมออนไลน์กันตรงๆ ไม่ง่ายกว่าเหรอ ทำไมต้องมาแอบทำออกสื่อด้วย สมัยนี้ เครื่องมือง่ายกว่าเยอะเลย

ข้อมูลประเภทที่ 2 มายาคติ เป็นการเชื่อมโยงความชอบกับความไม่ชอบของตัวเอง และไปสรุปร่วมกับสิ่งที่อยากได้ เช่น ยาสีฟันต้องมีฟอง ไม่อย่างงั้นสีฟันไม่สะอาด อากาศที่ปลิดภัยต้องมีกลิ่นที่สดชื่น คนจะรวยได้ต้องมีเงินติดกระเป๋าเอาไว้ตลอด ซึ่งยังรวมไปถึงความเชื่อบางอย่าง ที่คิดยังไงก็งง เช่น ใช้เบอร์โทรศัพท์นี้และจะโชคดี (สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์ก็มีคนโชคดี) หรือที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทถกวันคือ การมีอิสระภาพ เท่ากับการทำอะไรก็ได้ และผู้คนก็เชื่อโดยไม่ลังเล เพราะสิ่งที่ได้รับมาตรงต่อความต้องการของตัวเองพอดี อยากสะอาด อยากรวย พอมีคนบอกว่าทำอะไรแล้วจะรวย ตรงกับจริตพอดี เลยเชื่อเลย หรือตอนช่วงโควิดระบาด ให้กินสมุนไพรบางชนิด แล้วจะป้องกันโควิดได้ กกินกันใหญ่ เพราะไม่อยากติดโควิด

ข้อมูลประเภทที่ 3 ข้อมูลที่เกิดจากตรรกะ แต่ต้องระวังอีก เพราะการคิดเชิงตรรกะเป็นการคิดเชิงเป็นเหตุและเป็นผล แต่ไม่ได้หมายความว่า มีเหตุ และมีผลจะกลายเป็นตรรกะ จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ตรรกะเป็นการคิดแบบมีเหตุ และมีหลักการที่ดี หรือการการทางวิชาการมารอบรับ และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ ดังนั้น การคิดแบบตรรกะ ที่ปราศจากหลักการ หลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ ก็จะกลับไปสู่การคิดมามายาคติทั้งนั้น เป็นเรื่องที่ต้องระวัง และในบรรดาเนื้อหา (Content) ทีสร้างกันขึ้นมาจำนวนมาทั้งในวันนี้หรืช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็มีจำนวนมากที่เป็นการคิดแบบตรรกะ แต่ไม่มีหลักการและหลักฐานมาประกอบ ไม่ได้ดูภาพรวมในบริบทนั้น กลายเป็นคำพูดที่ล้อกันว่า ตรรกะป่วย

การป้องกันไม่ให้เกิดข้อมูลที่ผิดเพี้ยนในโลกของข้อมูลที่หลั่งไหลลงมา คือการใช้ 3 หลัก ในการช่วยให้เกิดการกลั่นกรองเรื่องราวต่างๆ ก่อนเชื่อ และก่อนสร้างเนื้อหาที่ผิดเพี้ยน โดยเฉพาะที่เป็นข่าวปลอม หรือ Fake News 

หลักคิด เป็นหลักตัวแรก เพื่อระบุว่า เรากำลังคิดเรื่องอะไร ทำไมเราถึงคิดเรื่องนี้ เราต้องการอะไรจากการคิดเรื่องนี้ มีความชัดเจนแม้กระทั่งระบบการคิด เป็นเหตุ ของการคิดและความเชื่อทั้งหมด

หลักการ เป็นหลักที่ 2 ในการคิด หมายถึง เป็นการระบุว่า ในเหตุที่เราต้องการนั้น เราสามารถใช้แนวคิด ทฤษฎี ปรัชญา อะไรมาอธิบาย ยิ่งแนวคดทฤษฎีนั้น มีความเป็นสากล มีความเป็นกลางได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งติดอคติ มายาคติ หรือ การสมคบคิดออกได้ได้มากเท่านั้น ปัญหาคือ คนจำวนมากไม่รู้ว่า จะเอาหลักอะไรมาเป็นตัวคิด ตรงนี้จึงต้องมีการเรียนหนังสือ สอนให้คิด แทนการสั่งให้ปฏิบัติเพียงอย่างเดียว

หลักเกณฑ์ เป็นหลักที่ 3 คือ รู้ได้อย่างไรว่าคิดที่คิดนั้น คิดได้ถูก โดยธรรมชาติของคน เราต้องการอะไรบางอย่างจากการกระทำ ดังนั้น เมื่อเราชัดเจนตั้งแรก เราก็จะรู้ว่าผลที่ได้จากการคิดนั้น ถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าเราไม่มีการวัดผลของการคิด เราก็จะคิดไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ จนกลายเป็นคิดวนไปวนมา และเชื่อว่าสิ่งที่คิดเป็นความจริงในทุด คล้ายๆกับการสะกดจิตตัวเอง จนสุดม้ายก็เกิดผลประทบต่อการใช้ชีวิต

3 หลักนี้ จะช่วยให้เราอยู่ได้อย่างมีความสุขกับความจริง ไม่ใช่ความเชื่อในโลกที่ปริมาณข้อมูลพุ่งทะยายแบบไม่หยุด และหลีกเลี่ยงการเกิดการสร้างข่าวปลิดซ้ำ ไปอีก นอกจากนั้น ยังสามารถนำไปใช้กับการทำงานได้ โดยเราเอาไปใช้ในการตัดสินใจให้มีความชัดเจน ไม่ใช่เป็นการเดาเอาเอง เชื่อเอาเอง แล้วทำให้ตัดสินใจพลาดในที่สุด ลองเอาฝึกกันดู


ดร.นารา

วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

บทเรียนจากการเลือกตั้งสู่การปรับตัวทางธุรกิจ

หลังจากการเลือกตั้งของประเทศไทยปี 2566 ผ่านพ้นไป ได้เห็นคะแนนกันไปแล้ว ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของผู้ที่เกี่ยวข้องไปจัดการ



แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีความน่านใจหลายอย่างที่สะท้อนถึงความคิดคนในประเทศไทย และสามารถนำมาสู่การจัดการธุรกิจที่ต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมสังคมในปัจจุบันไปถึงอนาคต

หากเราวิเคราะห์กัน เราจะถามกันว่า อะไรทำให้ก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง หากดูจากคะแนนเสียงของ สส. บัญชีรายชื่อ มีมากกว่า 14 ล้านเสียง จากผู้มีสิทธิออกเสียง 52 ล้านเสียง แล้วใครหล่ะใครหล่ะเป็นผู้เลือกก้าวไกล

ค่อนข้างชัดเจนสำหรับคนที่เลือกก้าวไกล จะเป็นคนรุ่น Gen X ปลายๆ Gen Y และ Gen Z รวมไปถึง กลุ่มที่เป็น First Time Voter เป็นส่วนใหญ่ ทำให้ได้ สส. บัญชีรายชื่อไปถึง 39 คน จาก 100 (ตัวเลขก่อนการรับรองผลจาก กกต.) ในอีกด้านหนึ่ง สส. แบบเขต ได้มาเพียง 113 คน จาก 400 เรียกว่าสัดส่วนแตกต่างกันอย่างมาก

แต่อย่างไรก็ตาม เรียกว่า กลุ่มนี้เป็นสัดส่วนถึง 40% ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่กำลังจะเข้ามีบทบาททางเศรษฐกิจในอีกไม่นานนี้ เรียกว่าอนาคตของชาติจริงๆ

อะไรทะให้คนกลุ่มนี้ถูกใจก้าวไกล เป็นคำถามที่น่าสนใจ เป็นเพราะ ประเด็นประชาธิปไตยจริงหรือ หรือว่า เปนประเด็นร้อน 112  จากการวิเคราะห์น่าจะมีส่วน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงช่วงหาเสียงเท่านั้น ตัวแปรที่ให้เกิดเหตุการณ์นี้มันสะสมมาตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3.0 หรือยุค Dot Com

เมื่อข้อมูลของโลกได้ขึ้นไปอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่การกำเนิก Google ในปี 1998 ทำให้ระบบการรับรู้ข้อมูลของคนทั้งโลกได้เปลี่ยนแปลงไป เด็กในวันนั้นที่ได้เรียนหนังสือตั้งแต่มหาวิทยาลัยลงไป ได้เรียนรู้การเข้าถึงข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันวันนี้ คนกลุ่มนี้ก็มีอายุประมาณ 45-47 ปี ลงมา

มนุษย์ได้เรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมการเข้าถึงข้อมูลอย่างมาก เรียนรู้การรับรู้ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ่น ตามมาด้วยการไม่เชื่อคน แต่เชื่อเครื่อง เพราะเครื่องสามารถให้ข้อมูลได้ละเอียด มีหลักฐาน สามารถนำมาเปรียบเทียบได้ง่าย และที่สำคัญ เร็วทันใจเป็นอย่างมาก

จะเห็นได้ว่า เด็กๆ เยาวชนปัจจุบัน จะไม่ฟังคำสั่งแล้ว แต่จะฟังว่า ที่ให้ทำ มีเหตุผลอะไร เอาทฤษฎีอะไร และหลักการอะไรมารองรับ มีความเชื่อในความเป็นอิสรชน เชื่อในเรื่องสิทธิเหนือร่างกายของตัวเอง เชื่อในหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ต้องพิสูจน์ได้ และที่สำคัญ ต้องการสิ่งที่เรียกวาสร้างสรร แปลกใหม่แต่ดูดี ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ 

ผู้ใหญ่หลายคนเลยบอกว่า เด็กสมัยนี้ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ จริงๆ ไม่ใช่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ แต่พ่อแม่ต้องเถียงแข่งกับอินเตอร์เน็ต และมีหลักฐานชัดเจนในการอธิบายได้ว่า ที่ห้าม ไม่ดี สิ่งนั้น ไม่ดีอย่างไรเป็นที่ประจักษ์

การเลือกตั้งสะท้อนภึงพฤิตกรรมได้อย่างชัดเจนสำหรับกลุ่มนี้

ในทางธุรกิจ หากมองว่าคนกลุ่มนี้คือเป้าหมายในการขายและเป็นลูกค้าคนสำคัญทั้งปัจจุบันและอนาคต ธุรกิจต้องเรียนรู้ในการปรับตัวเอง ให้สินค้า และบริการของตัวเองมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

1. เห็นผลทันที เพราะคนกลุ่มที่กล่าวถึงมานี้ ถูกฝึกให้ทำอะไรเร็ว ไม่ต้องรอ ดั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลการใช้สินค้าและบริการ หรือ การสื่อสาร ต้องเข้าเป้าตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม ไม่ต้องแปลความหมายมากมาย

2. ไม่จำเป็นต้องดีที่สุด แต่ขอให้ตอบโจทย์ได้ เพราะพวกเขาพร้อมที่จะลอง และสื่อสารย้นอกลับได้ตลอดเวลา แต่ว่าต้องมีช่องทางในการสื่อสารที่รวมเร็วเข้าถึงง่าย ตอบสนองไว พร้องทั้งปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างเร็ว เห็นได้ชัดตลอดเวลา

3. มีความสม่ำเสมอ เพราะเมื่อธุรกิจได้บอกถึงสรรพคุณของตนเองแล้ว จะถูกจับจ้องตลอดเวลา นั่นหมายความว่า พูดอย่างไรต้องเป็นแบบนั้น เพราะข้อมูลมันถูกกระจายไปโลกออนไลน์หมดแล้ว ถ้าทำผิด กลุ่มคนเหล่านี้ก็พร้อมที่จะเอาหลักฐานมาโจมตีได้ทันที ยิ่งดัง ยิ่งโดนจับจ้อง

4. ทำอะไรต้องพิสูจน์ได้ มีหลักการ มีเหตุผล จะทำให้คนกุล่มนี้เชื่อ แต่ถ้าพูดลอยๆ อธิบายไม่ได้ รับรองเลยว่าไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด เพราะคนกลุ่มนี้ เคยชินกับการศึกษาข้อมูลในปริมาณมากๆ และพร้อมที่ทำข้อมูลซ้ำให้คนอื่นได้เชื่อตามเช่นกัน

ทั้งหมดนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนตัว แต่ละท่านมีสิทธิที่จะเชื่อหรือไม่ก็ได้

ดร.นารา


วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2566

ปั้นคนเก่ง #EP41 ผู้นำแบบอำนาจและผู้นำแบบบารมี

 ปั้นคนเก่ง #EP41 ผู้นำแบบอำนาจและผู้นำแบบบารมี



ว่ากันด้วยผู้นำ เป็นประเโ้นที่กำลังกล่าวถึงมากในตอนนี้ แต่จริงๆ แล้วก็กล่าวถึงมานานแล้วด้วย เพราะการที่โครงสร้างทางสังคม ทางธุรกิจของเรามีความซับซ้อนเพิ่มสูงขึ้น คนรับรู้ข้อมูลต่างๆ ได้มากขึ้น และง่ายขึ้น สถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น องค์กรก็มีความคาดหวังต่อพนักงานให้สร้างผลงานและคุณค่าให้กับองค์กรมากขึ้น ตามการพัฒนาทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

ดูจะเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกันอยู่เอาเรื่องทีเดียว แน่นอนว่าจะต้องมีคนมาเชื่อมโยง และจูงใจให้ทุกคนร่วมกันเป็นหนึ่งแล้วให้ทำงานจนสามารถบรรลุเป้าหมายได้ คนนั้นใครๆ ก็รู้จักกันเรียกว่า ผู้นำ แต่ผู้นำที่จะมีความสามารถในการจูงใจ ทำให้คนเชื่อถือ และยอมทำตามได้ เรียกว่า ภาวะผู้นำ 

คำถามหลักๆ คือว่า แล้วภาวะผู้นำสร้างขึ้นมาอย่างไร สิ่งนี้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ  แต่อย่างน้อย ก็เป็นส่วนผสมของปัจจัย 2 อย่าง นั่นคือ อำนาจ และบารมี


ผู้นำแบบอำนาจ หมายถึง คนที่ใช้อำนาจที่ตัวเองได้รับ หรือ Authority ตัวอย่างเช่น อำนาจในการอุมัติวงเงิน อำนาจในการประเมิน ซึ่งอำนาจพวกนี้ ไม่ได้เป็นอำนาจที่สร้างขึ้นมาเอง เพียงแต่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจแทนเจ้าของธุริจ หรือเจ้าของอำนาจที่แท้จริง บางครั้งอำนาจอาจจะมาอยู่ในรูปของความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงทางร่างกาย เช่นการลงไม้ลงมือ ความรุนแรงทางวาจา เช่นการด่า ตะคอก หรือให้เสียดสี บูลลี่ รวมถึงความรุนแรงทางด้านจิตใจ เช่น การให้ในสิ่งที่ไม่ชอบหรือกลัว ทำให้รู้สึกแย่ ว้าเหว่ หดหู่ รวมถึงการใช้กฎระเบียบหรือกฎหมายมาบังคับ

ผู้นำแบบอำนาจ จะใช้ความกลัวเป็นตัวตั้ง ทำให้คนอื่นกลัวว่าจะได้รับผลไม่ดี ถ้าไม่ทำตาม ผู้คนจะทำตามเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเกิดเสื่อมอำนาจ ใช้แล้วคนไม่กลัว ภาวะผู้นำก็จะลดลงไปเรื่อยๆ สั่งอะไรก็ไม่มีใครทำตาม ก็ถึงจุดอันตรายของผู้นำคนนั้น

แบบที่ 2 ผู้นำแบบบารมี

การสร้างบารมีเป็นการสร้างคุณงามความดี การสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นเรื่อยๆ ต้องอาศัยการสะสมความรู้สึกและภาพจำ จนคนทั่วไปรู้สึกเกรงใจ การสร้างบารมีเริ่มต้นด้วยการช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับคนรอบข้าง การให้ความรู้ การให้การช่วยเหลือ การให้เงินหรือทรัพยากร การให้กำลังใจ การให้ความเข้าใจ การให้การยอมรับ และอีกมากมายที่ทำให้คนมีกำลังใจ มีความสุข 

ผู้นำแบบบารมีจำเป็นต้องใช้เวลา ไม่เห็นผลในทันที ต้องรอการพิสูจน์ว่าดีจริงหรือไม่ แต่เมื่อใดที่ได้ระดับของบารมีที่สะสมแล้ว คนจะเกรงใจ มากกว่าเกรงกลัว เป็นคนที่มีอำนาจอย่างประหลาด แค่พูดเบาๆ คนก็ทำตาม เป็นลักษณะ Soft Power 

เมื่อเราเปรียบเทียบการสร้างภาวะผู้นำก็เหมือนกับเงินออม จะช่วยทำให้เราเข้าใจภาพได้ง่ายขึ้น

ผู้นำแบบบารมี เป็นเหมือนการสะสมเงินเอาไว้ เก็บเอาไว้เยอะๆ คนที่มีเงิน ก็จะมีดูมีบารมีทันที

ผู้นำแบบอำนาจเหมือนกับการถอนเงินออกมาใช้ ทุกครั้งที่ใช้ เท่ากับการเอาบารมีเก่าออกมา ใช้มากเกินไป เงินหมด จนพอดี

ในการเก็บเงิน เราก็บอย่างเดียวมากเกินไป ไม่ใช้เงินเลย เค้าเรียกว่าคนตระหรี่ ขี้เหนียว งก ไม่มีใครอยากคบ ซึ่งคนที่ใช้บารมีมากๆ จะดูเป็นผู้นำที่อ่อนแอ ไม่กว่าตัดสินใจให้โทษใคร มีแต่สร้างคุณ ผู้นำแบบนี้ จะดีในกรณีที่องค์กรอยู่ในสภาวะปกติ แต่จะไม่ดีกับองค์กรที่เกิดสภาวะผิดปกติ

สำหรับคนที่มีเงินมากแล้วได้ใช้ไปบ้างเพื่อให้เกิดประโยชน์ จะยิ่งเป็นการเสริมบารมีให้ดูดีขึ้น เหมือนกับคนที่รู้ว่า เวลาไหนที่ต้องสร้างคุณประโยชน์ให้กับคนอื่น และเวลาไหนที่ต้องตัดสินใจ ใช้ความเด็ดขาดและอำนาจให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น จากนั้นก็รีบสร้างบารมีมาชดเชยกับการใช้อำนาจไป แบบนี้จะเรียกว่าเป็นสุดยอดของผู้นำ

ทั้งหมดนี้จึงเป็นศิลปะ ในการเป็นผู้นำ รู้ว่าเวลาไหนต้องใช้อำนาจ หรือ บารมี ไม่มีสูตรตายตัว มีแต่การใช้สติ และปัญญาเท่านั้น ที่ผู้นำต้องเรียนรู้และวิเคราะห์ว่า แต่ละวันจะใช้อะไรเท่าไหร่ และอย่างไร


ดร.นารา

วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2566

ปั้นคนเก่ง #EP40 สร้างทีมงานให้มีความเป็นผู้ประกอบการ (ภาคต่อ)

ปั้นคนเก่ง EP40 #สร้างทีมงานให้มีความเป็นผู้ประกอบการ (ภาคต่อ)



หลังจากภาคที่แล้วได้อธิบายถึงการสร้างความเป็นผู้ประกอบการให้กับทีมงานในส่วนของเจ้าของแล้ว

กลับไปอ่านได้ที่นี่

https://nara-economist.blogspot.com/2023/03/ep39.html

ตอนนี้มาว่ากันถึงในส่วนที่เป็นพนักงานบ้าง เพราะเมื่อเจ้าของได้ไว้วางใจทีมงานไปแล้ว ทางพนักงานก็ต้องไว้วางใจเจ้าของด้วยเช่นกัน ถึงจะทำให้องค์กรมีความเป็นผู้ประกอบการขึ้นมาได้ทั้งหมด

มีคำถามบ่อยมากว่า ทำอย่างไรให้พนักงานรักองค์กร และทำงานเพื่อองค์กร พนักงานก็จะถามกลับมาทันทีว่า องค์กรทำอะไรให้เรารัก และเราจะรักไปทำไม  ถ้าเป็นแบบนี้ไม่มีทางที่จะเกิดความเป็นผู้ประกอบการได้เลย

ในตอนนี้เรามาคุยกันในส่วนของพนักงานล้วนๆ กันว่า พนักงานมีความเป็นผู้ประกอบการแล้วจะได้อะไรทำอย่างไรถึงจะมีความเป็นผู้ประกอบการได้อย่างเต็มที่

อย่างแรกคือความคิด (Mindset)

การที่คนเราคิดว่า เรามาทำงานให้ได้ตามเงินเดือนหรือเวลาที่กำหนด เริ่มต้นแบบนี้ก็ผิดแล้วนั่นหมายความว่าเรากำลังเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง มองแต่ในมุมของตัวเองก่อนมุมขององค์กร ดังนั้น คนที่จะเป็นผู้ประกอบการต้องทำตัวเองแบบนี้

1. ความเป็นผู้ประกอบการเริ่มต้นด้วยเป้าหมาย ไม่ใช่เวลา คนที่คิดว่าเป้าหมายเป็นเรื่องสำคัญ มีความพยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้เป้าหมาย และรู้ว่าเป้าหมายนั้น มีความสำคัญอะไรกับตัวเอง ถ้าไม่รู้วหน้าก็ควรช่วยให้รู้หน่อย

2. เมื่อรู้เป้าหมาย ก็มีความในการพัฒนาด้วยวิธีการใหม่ๆ ให้ได้ตามเป้าหมาย เป็นนักนัวตกรรม ในการเป็นนวัตกรรมในที่นี้ ไม่จำเป็นต้องการคิดสิ่งประดิษฐ์ แต่ขอแค่เป็นคนที่คิดวิธีการใหม่ๆ ไม่ยอมจำนนต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่

3. เป็นคนที่ไม่คิดยึดติดกับความล้มเหลว แน่นอนหล่ะ คนที่ยึดติดกับความล้มเหลว จะไม่ยอมเดินต่อไปข้างหน้า แต่ผู้ประกอบการกลับมาว่า ความล้มเหลวคือบทเรียนที่มีค่า และเรียนรู้ว่าครั้งหน้าจะทำอะไรไม่ให้พลาดไปอีก

4. เป็นคนที่คิดบวก รู้จักเห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นในสถานการณืต่างๆ ไม่บ่น ไม่ว่า ไม่โทษคนอื่น แต่กลับมองเห็นความสวยงามของการทำงาน ความล้มเหลว และเรื่องเลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น บนพื้นฐานของความเป็นจริง

อย่างที่สองคือการกระทำ (Action)

1. คนทำงานอย่างเป็นระบบ ต้องมีเหตุผล เป็นขั้นเป็นตอย มีความรอบคอบ และครบถ้วน เพื่อให้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตอบสนองต่อเป้าหมาย อันนี้ต้องฝึก และใช้บ่อยๆ เรียกว่า เวลาได้รับงานอะไรมา ให้คิดเพิ่มเติมว่าเราต้องทำอะไรอีกให้สมบูรณ์ ทำอะไรก่อนหลัง และลงมือปฎิบัติตามนั้น

2. ลงมือด้วยภาวะผู้นำ หรือรู้ว่าต้องทำอย่างไรคนอื่นเค้าถึงจะทำตามที่เราอยากได้ รวมถึงต้องหยุดทำอะไรเพื่อให้คนอื่นเชื่อถือเราด้วย การเป็นคนที่มีภาวะผู้นำ จะสามารถสร้างได้จาก 2 ส่วนคือ ส่วนส่วนที่เป็นการสร้างบารมีให้กับคนอื่น เป็นการช่วยเหลือ และอำนวยประโยชน์กับคนอื่น ส่วนที่เป็นอำนาจ คือการบังคับใช้ ด้วยกำลัง ข้อบังคับ หรืออะไรก็แล้วแต่ให้คนอื่นทำตาม

3. รู้จักการปิดความเสี่ยงและกล้าที่จะเสี่ยง คนที่เป็นผู้ประกอบการมีความกล้า กล้าในการดำเนินการตามความคิดของตัวเองในการทำอะไรใหม่ๆ แต่ก็รู้วิธีการจัดการความเสี่ยงนั้นให้ได้รับผลลัพธ์ที่ต้องการด้วยเช่นกัน ไม่ใช่เสี่ยงแบบลุยเข้าไป เรียกอรีกอย่างว่าเป็นคนที่มีแผนสำรอง ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่อยากได้

4. รู้จักหยิบจับสิ่งรอบตัวมาให้เกิดประโยชน์ รู้ว่าอะไรทำอะไรได้บ้าง รู้จักขอ รู้จักใช้ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดการประสมประสานงานต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นงานใหม่ขึ้นมา ซึ่งต้องอาศัยความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาฐในอาชีพของตนเอง เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


จากทั้ง 2 ส่วน คนที่ฝึกบ่อยๆ จะมีความเป็นผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้น คนเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นที่ต้องการขององค์กร และเมื่อพัฒนาต่อไปจะกลายเป็นคนที่มีความเป็นเจ้าของ (Ownership) มากขึ้น แม้ว่าคนคนนั้นจะไม่ใช่เจ้าของจริง แต่คนเหล่านั้นจะเป็นคนที่กายเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่ากับองค์กร

สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าพนักงานยังถามว่า เราทำแล้วองค์กรจะให้อะไรกับเรา ปัญหานี้จริงๆ ไม่ใช่ปัญหาของพนักงาน แต่เป็นปัญหาขององค์กรที่จะรักษาคนเหล่านี้ไว้ได้อย่างไร

คนเก่ง จะเริ่มต้นจากการเป็นผู้ประกอบการ


ดร.นารา

วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2566

ปั้นคนเก่ง#EP39 สร้างทีมงานให้มีความเป็นผู้ประกอบการ

 EP39 #สร้างทีมงานให้เป็นผู้ประกอบการ


ปัญหาปวดหัวที่สุดของการสร้างทีมงานคือการสร้างความภักดีในองค์กร เป็นที่รู้กันว่า เมื่อพนักงานไม่มีความภักดีต่อองค์กรแล้ว การทำงานก็จะเป็นเหมือนการทำแบบขอไปที ทำงานให้ได้ตามเป้า ไม่สั่งก็ไม่ทำ และที่สำคัญคือ ละเลยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่ควรจะเข้าไปยุ่งเดี๋ยวมีงานเพิ่ม ไม่ต้องการมีภาระอีก


ในทางกลับกัน เจ้าของหรือผู้บริหารต่างต้องการพนักงานที่มีการทำงานโดยมีความคิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ สามารถทำงานด้วยการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ หรือ มีการหวงแหน ประหยัด เอาใจใส่ต่อสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ในการทำงานมากที่สุด


สิ่งที่เจ้าของอยากได้คิดความเป็นผู้ประกอบการ ความภักดีในองค์กร และการสร้างโอกาสให้กับองค์กร ซึ่งต้องมีกระบวนการใรการสร้างจากทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเจ้าของธุรกิจ และฝ่ายของทีมงาน ซึ่งทั้ง  2 ฝ่ายแบ่งออกเป็นได้ 3 ส่วนคือ ส่วน Mindset ส่วน Behavior และ ส่วน Policy

ในบทความนี้เรามาดูในฝั่งของเจ้าของก่อนว่าเจ้าของเองนั้นควรต้องทำอะไรบ้างก่อนที่เราจะไปกำหนดให้ทีมงานเปลี่ยนแปลง


เริ่มด้วยฝ่ายของเจ้าของธุรกิจก่อน

ส่วนของ Mindset

*เจ้าของธุรกิจต้องคิดว่า ที่คนเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นเจ้าของ ไม่ใช่มีแต่เจ้าของหรือหุ้นส่วนเท่านั้นที่มีความเป็นเจ้าของ ฟังดูอาจจะงง หมายถึงความใจกว้าง และวางใจให้คนอื่นเข้ามาแสดงความเป็นเจ้าของในธุรกิจของเราเองด้วย

*เจ้าของต้องไว้วางใจในการตัดสินใจของทีมงาน แม้ว่าจะไม่ถูกใจก็ตาม นั่นหมายถึง เมื่อได้มอบหมายให้ใครตัดสินใจอะไรไปแล้ว ต้องตัดใจและเชื่อใจในการตัดสินใจของเขา

*เจ้าของต้องเชื่อว่า ทกคนที่พยายามเข้ามาช่วยแก้ปัญหาต่างหวังดีต่อองค์กรทั้งนั้น ให้พวกเขาได้แสดงความหวังดีให้เต็มที่


ส่วนของพฤติกรรม

** เจ้าของต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่าง แล้วอธิบายถึงเหตุผลในการกระทำของตัวเอง ไม่ใช้คอยต่อว่าคนอื่นที่ไม่ทำเหมือนตัวเอง

**เจ้าของต้องคอยสอนว่า การกระทำที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไรและชมเชยเมื่อมีการกระทำที่ถูกต้องเกิดขึ้น

**เจ้าต้องใส่ใจคนเข้าใจถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการเป็นอยู่ที่ไม่ก่อให้เกิดความสุข ตั้งแต่สถานที่ ความสะอาด น้ำดื่ม การกินอยู่ รวมไปถึงการแสดงความคิดความเห็นของทีมงาน


ส่วนของนโยบาย

***เจ้าของก็ต้องคิดนโยบายที่สนับสนุนการสร้างความเป็นผู้ประกอบการให้กับบุคคลที่อยู่ในทีมงานปัจจุบัน

***เจ้าของต้องอธิบายให้ได้ว่านโยบายต่างๆ นั้น ดีต่อทีมงานและองค์กรอย่างไร

***นโยบายต่างๆ ที่กำหนดมาต้องช่วยให้องค์กรและพนักงานมีชีวิตที่ดีขึ้น

***เจ้าของต้องไม่ละเมิดนโยบายของตัวเองเสียเอง เพื่อให้เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ


ทั้งหมดนี้คือในส่วนที่เจ้าของต้องเตรียมเอาไว้ก่อนที่จะไปสร้างความเป็นผู้ประกอบการในทีมงานของตัวเอง เรียกว่า เตรียมที่เตรียมทางเอาไว้ เมื่อลงมีอปฏิบัติจะได้ไม่สะดุดหิน สะดุดตอไม้ของตัวเอง


สำหรับการสร้างความเป็นผู้ประกอบการในทีมงานติดตามใน EP หน้า


ดร.นารา

วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2566

ปั้นคนเก่ง #EP38 การวางบทบาทของผู้นำ

 EP#38 การวางบทบาทของผู้นำ



ผู้นำเป็นบุคคลที่สำคัญมากที่สุดคนหนึ่งในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐหรือเอกชน ต่างต้องการผู้นำ หรือคนที่มา ชี้ นำ พา คนในองค์กรให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าตามที่เจ้าของ หรือผู้นำขั้นต่อไปต้องการ สิ่งที่ผู้นำจะได้ตามมาด้วยในการดำเนินการคือ อำนาจ (Authorithy) เป็นอำนาจที่ได้รับมาจากเบื้องบนอีกครั้ง เพื่อให้ใช้สิ่งนี้ขับเคลื่อนองค์กรไปยังจุดที่ต้องการ

สิ่งที่เป็นผลพวงจากการได้อำนาจมาคือบทบาทของผู้ใช้อำนาจ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้น จะมีอยู่ด้วยกัน 3 บาทบาท โดยผู้นำแต่ละคนนั้น จะใช้บทบาทเหล่านี้สลับกันไปตามแต่จังหว่ะและโอกาส หรือบางครั้ง ใช้หลายบทบาทในเวลาเดียวกัน 

บทบาทการเป็นนักปกครอง (Dominator) เป็นบทบาทที่ผู้นำต้องควบคุมผู้คนต่างๆ ในอยู่ในกรอบกติกา หรือระเบียบที่วางไว้ ถ้าเป็นระดับเมืองหรือประเทศ เรียกว่าเป็นบทบาทของการบังคับใช้กฎหมาย ให้แต่ละคนอยู่ในกรอบของกฎหมาย นโยบาย และคำสั่งต่างๆ เพื่อความสงบและเป็นระเบียบเรียบร้อย


บทบาทการเป็นนักบริหาร (Administrator) เป็นบทบาทของคนที่ออกนโยบายและขับเคลื่อนองค์กรด้วยเครื่องมือต่างๆ การออกกลยุทธ์และยุทธวิธีเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ตามเป้าหมาย รวมถึงการสร้างแนวคิดของเครื่องมือ กลไก และระบบการทำงานต่างๆ ให้สามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรได้ นอกจากนั้น ยังมีหน้าที่ในการอำนวยความสะดวก จัดหาและจัดสรรทรัพยากรต่างๆ ภายในองค์กรอย่างเหมาะสมเพื่อให้นำไปสู่การได้มาซึ่งเป้าหมาย หรือวิสัยทัศน์ขององค์กร


บทบาทการเป็นนักการจัดการ (Manager) เป็นบทบาทของคนที่ต้องไปจัดการทรัพยากรต่างๆ ด้วยความรู้ และทักษะที่มี เพื่อให้ทรัพยากรเหล่านั้นถูกใช้งานตามที่ต้องการ รวมถึงการแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งปัญหาเฉพาะหน้า และปัญหาเชิงระบบ เพื่อให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพ และมีผลลัพธ์ตามที่ได้รับมอบหมายมาให้มากที่สุด 

คำถามที่ผู้นำต้องถามตัวเองว่า ณ เวลานี้ ต้องใช้บทบาทไหนบ้าง?

ในกรณีของการรักษาความสงบ (ที่ไม่ได้เป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหว) ต้องใช้เรื่องของการปกครองเป็นเรื่องหลัก ในอดีตการที่แต่ละอาณาจักรพยายามขยายอำนาจและขอบเขตของตน จึงเน้นการใช้การปกครงเพื่อให้เมืองขึ้นหรืออาณานิคมต่างๆ อยู่ในความสงบตามที่ตนต้องการ

ในกรณีที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนเปลง ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า ต้องเน้นเรื่องการบริหาร การกำหนดวิสัยทัศน์ที่มีความชัดเจน วัดผลได้ จับต้องได้ และทุกคนในองค์กรเข้าใจได้เป็นภาพเดียวกัน ซึ่งต้องอาศัยเครื่องมือ กลไก และกลยุทธ์อย่างแยบยล ครบ้วน รอบด้าน รวมทั้งมีการวางแนวทางการป้องกันคึวามเสี่ยงด้านต่างๆ เอาไว้อย่างครบถ้วน

ในกรณีที่ต้องมีการปฏิบัติในวิธีการใหม่ๆ หรือรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ต้องการผู้นำที่เป็นนักจัดการ เนื่องจากการใช้ทรัพยากรต่างๆ มีอย่างจำกัด ต้องเป้นแก้ปัญหาแต่ละเรื่องอย่างรวดเร็วและถูกต้อง รวมถึงป้องกันผลกระทบทางลับที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตที่จะตามมา


คนที่เก่ง ต้องรู้ว่าตัวเองต้องเล่นบทบาทไหนในเวลาใด รู้ภาพการขับเคลื่อนองค์กรในภาพใหญ่ และเห็นรายละเอียดในหารทำงานอยู่ตลอดเวลา และสลับบทบาทของตัวเองได้อย่างแยบยลให้เกิดการยอมรับในวงกว้าง จากที่เล่ามาฟังดูยาก แต่ทำได้ ด้วยเครื่องมือที่สำคัญคือ สติแห่งการรับรู้


ดร.นารา

วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2566

ความท้าทายของธุรกิจในปี 2023-2030



หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงเวลาปี 2020-2022 ที่แต่ประประเทศต้องปิดประเทศและต่างคนต่างเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานในรูปแบบใหม่ อาจจะพูดอีกย่างก็ได้ว่า COVID-19 เป็นเครื่องเร่งปฏิกริยาในการที่ทำให้โลกเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ได้เร็วขึ้น


สิ่งที่เกิดขึ้นคือ หลายบริษัทต้องปรับตัวไปใช้เทคโนโยลีเพื่อช่วยในการทำงานซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้ธุรกิจหลายธุรกิจต้องหยุดกิจการ เนื่องจากไม่สามารถปรับตัวได้ให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หรือเรียกว่า Disruption


นอกจากนั้นยังมีอีก 1 ปรากฏการณ์ทางธุรกิจที่เกิดขึ้นคือ การเปลี่ยนถ่ายรุ่นของเข้าของธุรกิจ ในปี 2023 เป็นช่วงที่คนรุ่น Baby Boomer มีอายุน้อยที่สุดคือ 59 ปี (คนที่เกิดอยู่ระหว่าง 1946-1964) หรือตั้งแต่ยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี 1964 นั้นหมายความว่า คนรุ่นนี้จะเป็นช่วงเข้าสู่วัยเกษียณอย่างเต็มรูปแบบ


จากแรงกดดันของ COVID-19 และ การเกษียณของ Baby Boomer จึงทำให้ธุรกิจจำนวนมากที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร จาก Baby Boomer สู่ Gen X และ Gen Y ซึ่งระบบการคิดของแต่ละรุ่น แต่ละยุคก็มีพื้นฐาน ความเชื่อที่แตกต่างกันไป 


 Gen X (คนที่เกิดปี 1965-1979) เป็นวัยที่คาบเกี่ยวระหว่างอะนาล็อค และดิจิตัล เป็นคนที่เกิดมากับ อะนาล็อค แต่ กลุ่มแรกที่ได้เรียนรู้กับดิจิตัล เป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 เป็นผู้ที่ได้รับอิทธิพลของ Baby Boomer  แต่ มีแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี คนกลุ่มนี้ ทำงานหนัก สร้างความมั่งคั่ง และพร้อมะเรียนรู้ มีความคิดว่า การทำงานหนักจะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ


Gen Y (คนที่เกิดปี 1980-1990) เป็นวัยที่เกิดมาพร้อมกับกลิ่นอายของความเป็นดิจิตัล ชอบการเรียนรู้ ไม่อยากผูกมัด เชื่อมั่นในเทคโนโลยี และพยายามทำทุกอย่างให้ง่าย คนกลุ่มนี้ เกิดมาพร้อมกับการเรียนรู้ของโลก การตื่นเต้นกับการเติบโตของเทคโนโลยี การเปิดโลกเสรีในการใช้ชีวิต เชื่อว่า การทำงานหนักเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ต้องทำงานหนักตลอดไป ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต มีแรงบันดาลใจ


ในความแตกต่างที่เกิดขึ้น เข้ามาสู่การถ่ายโอนอไนาจของธุรกิจ พบว่า มีหลายธุรกิจอยู่ในช่วงการการแปลงร่าง (Transformation) ซึ่ง ผลที่ตามมาหลายๆ เรื่องเช่น การเปลี่ยนแปลงของระเบียบการทำงาน การเปลี่ยนจากธุรกิจครอบครัวไปเป็นธุรกิจแบบ Corporate หรือบางธุรกิจ ต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่ง Gen X และ Gen Y หลายๆ คน ได้รับรู้มาจากองค์ความรู้ที่เรียนกันในหมาวิทยาลัย หรือ แหล่งความรู้ต่างๆ 


แน่นอนว่าผลที่เกิดขึ้นคือ การเกิด Culture Shock และ การต้องสร้างระเบียบ ข้อบังคับ และวิธีการใหม่ทั้งหมด ถือว่าเป็นควาท้ทาทาายเป็นอย่างมากที่ต้องให้คนที่ทำงานเดิมเปลี่ยนวิธีการคิด ความเชื่อ และวิธีการทำงานตามผู้บริหารรุ่นใหม่ การออกแบบกลยุทธ์ในการเปลี่ยนแผนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ และแน่นอนว่า ต้องมีแรงเสียดทานจากคนเดิมที่อยู่เป็นอย่างมาก


ผู้บริหารที่เก่ง จะต้องเก่งในเรื่องการวางระบบ การสื่อสาร การวัดผล การพัฒนาคน และการแสดงออกในความเป็นผู้นำ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านจากรุ่นสู่รุ่น เป็นไปตามเป้าหมาย ภายใต้การสูญเสียที่น้อยที่สุด หรือหาผู้ที่เป็นมืออาชีพ มาช่วย ทั้งช่วยในการให้ความเห็น หรือ หาคนที่มาช่วยในการส่งผ่านให้ ซึ่ง การที่หาบุคคลภายนอก จากมีข้อดีตรงที่ มีคนที่มีประสบการณ์มาช่วย และคนนั้น ยังเป็นคนที่รับแรงเสียดทานแทนเอาคนภายในทั้งหมดมาดำเนินการเอง แน่นอนว่า ยังไงก็มีข้อเสีย ทั้งเรื่องความเข้าใจภายในของธุรกิจ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น และการสร้างความคุ้นเคยกับบุคลากรทั้งหมด


ทั้งหมดนี้ เจ้าของ ต้องเลือกว่า จะส่งผ่านไปสู่รุ่นใหม่อย่างไร


ดร.นารา