จินตนาการ พลังมหัศจรรย์จากภายใน
จินตานาการ แหล่งการสร้างสรรของมนุษย์จากภายใน ความหมายของจินตนาการทุกคนจะเข้าใจดี แต่การมีจินตนาการอันนี้เป็นทักษะในการสร้างพลังของมนุษย์ให้เกิดความคิดใหม่ สิ่งใหม่ และประโยชน์ใหม่ๆ เสมอ มนุษย์เราเกิดการพัฒนาได้เพราะจินตนาการ บางครั้งเราอาจจะเรียกว่าการมโนที่มีประโยชน์ก็ได้เหมือนกัน และกล่าวกันว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียวชนิดเดียวที่สามารถเอาจินตนาการมาใช้ประโยชน์ได้ จินตนาการจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในการสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับมวลมนุษย์ชาติ
ลองคิดตามนะ เราจินตนาการเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ว่าเราควรจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันยังไง แล้วเราก็เอาเรื่องการจินตนาการเป็นเรื่องสมมติที่เรายึดถือ ทำให้สังคมของเรามีระเบียบ และเราก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เราจินตนาการถึงดวงดาว ทำให้เรามีความทะเยอทะยานที่จะไปดวงดาว ไปดวงจันทร์ จึงเกิดการพัฒนากิจการอวกาศ เราจินจนาการถึงอะตอม ทำให้เราเข้าใจโครงสร้างอะตอมและเรามาใช้ประโยชน์ได้มากมาย
ลองคิดตามนะ เราจินตนาการเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ว่าเราควรจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันยังไง แล้วเราก็เอาเรื่องการจินตนาการเป็นเรื่องสมมติที่เรายึดถือ ทำให้สังคมของเรามีระเบียบ และเราก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เราจินตนาการถึงดวงดาว ทำให้เรามีความทะเยอทะยานที่จะไปดวงดาว ไปดวงจันทร์ จึงเกิดการพัฒนากิจการอวกาศ เราจินจนาการถึงอะตอม ทำให้เราเข้าใจโครงสร้างอะตอมและเรามาใช้ประโยชน์ได้มากมาย
แต่ยังมีหลายคนชอบบ่น ชอบพูดกันว่า จินตนาการไม่ออก คิดไม่ได้ ทำไม่เป็น งั้นเราต้องมาฝึกจินตนาการกัน ให้เป็นความเคยชิน เพราะจินตนาการนั้นเป็นทักษะที่เรียนรู้ได้ จากการพัฒนาสมองข้างขวา ในการทำงานของสมอง จะสลับข้างในการควบคุมร่างกาย และหน้าที่ต่างๆ
สมองซีกซ้าย มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายซีกขวา และการคิดคำนวนเชิงตัวเลข การคำนวน การคิดวิเคราะห์เชิงเหตุผล การเก็บรายละเอียด
สำหรับสมองซีกขวา เป็นสมองที่มีหน้าที่ควบคุมร่างกายซีกซ้าย และทำหน้าที่ในการสร้างจินตนาการ ดนตรี ความคิดแปลกใหม่ สังเคราะห์ การเคลื่อนไหวและจังหวะ กรมองภาพรวม การทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กัน
ในโลกนี้มีคนถนัดขวาประมาณ 85-90% และมีคนถนัดซ้ายอยู่ประมาณ 10-15% แต่กลับมีข้อมูลที่น่าสนใจจากงานวิจัยของ ออสเตรเลียน เนชั่นแนล ยูนิเวอร์ซิตี้ บอกว่า คนที่ถนัดซ้าย ถูกควบควมโดยสมองซีกขวาจะมีความสามารถในการจินตนาการ การทำงานที่มีความสลับซับซ้อน การตีความของข้อมูล ได้เร็วกว่าคนถนัดขวา และสามารถทำงานด้านการจินตนาการได้ดีกว่า คนถนัดซ้าย จะสามารถสร้างภาพ หรือเสียงภายในของตนเองได้ดี หรือสามารถเห็นภาพเชิงซ้อนจากจินตนาการของตนเอง เป็นการแปลความหมายของข้อมูลที่รับเข้ามาได้ดีกว่าคนถนัดขวา
รูปแบบการเกิดจินตนาการของคนถนัดซ้าย คือ สามารถสร้างภาพเสมือนได้แม้ยังลืมตาอยู่ สร้างเสียงคำพูด หรือเสียงต่างๆ จากการอ่านหนังสือได้ หรือ สามารถเห็นภาพความสัมพันธ์ของตัวเลข หรือตัวหนังสือ หรือยิ่งไปกว่านั้น อาจจะเห็นเป็นสีจากการได้ยินเสียงได้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติและไม่สามารถหยุดได้ บางคน สามารถวาดภาพเหตุการณ์ที่ต้องการ หรือวางรูปทรงความสัมพันธ์ที่เกิดจากการอ่านตัวหนังสือได้ทันที หรืออ่านหนังสือทีอยู่ในจินตนการของตนเองได้ เรียกว่า เวลาท่องหนังสือ ท่องเป็นภาพทีละหน้า และไปอ่านหนังสือในจินตนาการของตนเองทีหลังได้
คนที่ถนัดเรื่องต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นคนทีมีความสามารถในการจินตนาการ และความคิดสร้างสรรสูงกว่าคนอื่นๆ คนเหล่านี้แค่กำหนดเป้าหมายในการจินตนาการเท่านั้น ก็สามารถสร้างความคิดสร้างสรรออกมาได้ไม่ยาก แต่สำหรับคนถนัดขวา จะต้องฝึกกันเล็กน้อย ฝึกให้เกิดความชำนาญ แล้วจะช่วยให้การสร้างความคิดสร้างสรรจากจินตนาการไม่ใช่เรื่องยาก
เริ่มหัดจินตนาการ
การหัดจินตนาการ ให้เริ่มโดยการกำหนดรูปทรงวัตถุไว้ก่อน เป็นกลม หรือ เหลี่ยมก็ได้ เอาที่ชอบ แต่ถ้าเป็นเหลี่ยม เป็น สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม หรือ ห้าเหลี่ยมก่อน ถ้ามากกว่านี้จะเริ่มยากเกินไป หลังจากนั้น ให้หลับตาลง แล้วสร้างรูปทรงที่ราต้องการขึ้นมา ทำให้ชัดขึ้น ชัดขึ้น ชัดขึ้น หลังจากนั้นให้เริ่มใส่สีลงไป สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีดำ สีขาว สลับกัน ลองทำแบบนี้วนๆ หลายๆ ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 5-10 นาที เป็นระยะเวลานานกว่า 7 วันขึ้นไป จะเริ่มมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงในสมองของเรา เรียกว่าได้ผ่านขั้นที่ 1 มาเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้ายังไม่สามารถจินตนาการได้อย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว ให้เปลี่ยนแปลงจินตนาการเฉพาะรูปร่างอย่างเดียว ส่วนสี ใช้สีอะไรก็ได้ตามที่ชอบ แต่สำหรับใครก็ตามที่ชำนาญขั้นตอนนี้แล้วข้ามไปได้เลย
ลองทำดู
ขั้นตอนที่ 2 จินตนาการเสียง ให้ฝึกโดยการอ่านหนังสือให้เกิดเสียงภายใน เป็นคำพูดต่างๆ ตามหนังสือที่ได้อ่านมา ให้อ่านครั้งละ 45 นาที จริงๆ ก็เป็นผลดีต่อการเป็นผู้ประกอบการด้วย เพราะการอ่านหนังสือเป็นการเพิ่มพูนความรู้ในการสร้างความสำเร็จให้กับตนเอง เมื่อทำจนคล่องแคล่วแล้วให้เปลี่ยนเป็นภาษาต่างประเทศที่เราสามารถอ่านได้ เช่นภาษาอังกฤษ ให้อ่านออกสำเนียงแบบชาวต่างชาติ โดยการเริ่มอ่านออกเสียงก่อน และหลังจากนั้น ให้กลับมาอ่านในใจอีกครั้ง จนได้ยินเสียงชัดเจนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่ออกจากช่องฟัน หรือเสียงที่ก้องจากลำคอก็ตาม เมื่อทำจนชำนาญแล้ว คุณพร้อมแล้วที่จะข้ามไปขั้นที่ 3 ถ้าคุณชำนาญอยู่แล้ว ให้ข้ามไปขั้นที่ 3 ได้เลย
ลองทำดู
ขั้นตอนที่ 3 จินตานาการความรู้สึกและการสัมผัส ให้หลับตาลง แล้วคิดถึงสนามที่ที่อยากจะไปพักผ่อน ให้คิดถึงคนที่เรารักได้ไปด้วยกัน ณ ตอนนั้น เรารู้สึกอะไร มีการสัมผัสกัน ให้เราสร้างเหตุการณ์ในใจของเรากับการสัมผัสต่างๆ ที่เกิดขึ้น ว่ามีการสัมผัสตรงไหนบ้าง รู้สึกอย่างไร แรงค่อย มีสายลมพัดผ่านมาอย่างไรที่มากระทบที่ผิวหนังของเราบ้าง เย็น ร้อน อย่างไร รู้สึกอย่างไรตามแขน ตามขา ตามตัว เกร็ง ผ่อนคลาย อย่างไร และรู้สึกอะไรกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น ฝึกบ่อยๆ 5-7 วันติดกันครั้งละ 3-5 นาที วันละ 10 ครั้ง จนเกิดความชำนาญ แต่อีกเช่นเคย ใครสามารถทำได้แบบนี้แล้ว แปลว่าคุณพร้อมแล้วที่จะจินตนาการเรื่องราวต่างๆ ให้เป็นภาพต่อเนื่อง และใช้พลังของการจินตนาการนั้น เป็นการสร้างภาพความสำเร็จ และการสร้างความคิดสร้างสรรในขั้นตอนต่อๆ ไป
ลองทำดู
ขั้นตอนที่ 4 ขั้นตอนนี้ ให้เอาทักษะทางด้านภาพ เสียงและความรู้สึกมารวมกัน ในตอนต้น ให้เราใช้เพลงเข้ามาช่วยก่อน โดยการเปิดเพลงคลาสสิค หลับตาลง แล้วฟัง ปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกเป็นไปตามเสียงเพลง ปล่อยให้มีภาพเกิดขึ้นว่าเป็นภาพอะไร ความรู้สึกอะไร ปล่อยให้ภาพนั้นพัฒนาเป็นเหตุการณ์เคลื่อนไหว มีผู้คน มีทุ่งหญ้า หรือ มีบ้านเมือง ทำภาพนั้นให้ชัดขึ้น ชัดขึ้น ชัดขึ้น ให้มีเสียงของสิ่งที่อยู่รอบข้างปรากฎขึ้น เสียงของลม เสียงของผู้คน ให้เพลงพาเราไป เพลิดเพลินไปกับเพลงนั้น ทำแบบนี้สัก 2-3 เพลง คุณจะเริ่มมีความชำนาญในการสร้างเรื่องราวแล้ว ยินดีด้วย หลังจากนั้น ให้หรี่เพลงลง ให้เหลือเพียงแต่เพลงเบาๆ แต่ยังคงจินตนาการต่อไป ให้ภาพนั้น ดำเนินไปเอง ตามที่จินตนาการของคุณต้องการ จะเป็นอะไรก็ได้ ตามที่คุณมีความสุข
ลองทำดู
มาถึงตรงนี้ คุณพร้อมแล้วที่จะใช้การจินตนาการในการสร้างความสำเร็จ วิธีการคือ ให้คุณยืนขึ้น เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ยิ้มกว้างๆ รับความสำเร็จ แล้วเริมต้นด้วยการจินตนาการถึงสิ่งต่างๆ ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตคุณ ตั้งแต่ที่ใกล้ที่สุดคือเช้านี้ มีอะไรที่อยู่รอบๆ ตัวคุณบ้าน หมอน ที่นอน ผ้าห่ม เมื่อวานนี้ คุณเจอใครบ้าง คุณพบเหตุการณ์อะไรบ้าง เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คุณไปทำอะไรมา เมื่อเดือนก่อน คุณประทับใจ และมีเหตุการณ์อะไรให้จดจำบ้าง คุณใช้จินตนาการดึงภาพเหล่านั้นออกมาตอนนี้เลย และให้คุณเริ่มกล่าวขอบคุณกับเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่รอบตัว ทั้งเรื่องดีและร้าย ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง และให้เหตุผลในการกล่าวขอบคุณด้วยความทราบซึ้งใจจริงๆ
ขอบคุณหมอน ที่ให้เราได้หลับสบายในคืนที่ผ่านมา
ขอบคุณที่นอน ที่ให้เราได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่
ขอบคุณผ้าห่ม ที่ให้เราได้รับความอบอุ่นตลอดทั้งคืน
ขอบคุณอาหารเช้า ที่ช่วยเราให้มีพลังในการสร้างสิ่งดีๆ ในวันนี้
ขอบคุณคุพ่อ คุณแม่ ที่คอยเลี้ยงดูเราจนเติบใหญ่
ขอบคุณครู อาจารย์ทุกท่าน ที่ค่อยให้ความรู้เราจนเป็นเราได้ในวันนี้
ขอบคุณเพื่อน ที่ทำให้รู้ว่า มิตรภาพสวยงามขนาดไหน
ขอบคุณงาน ที่ทำให้รู้ว่า เรายัมีคุณค่า และยังมีงานทำ
ขอบคุณเหตุการณ์ที่ดีๆ ที่ทำให้รู้ว่า โลกนี้ ยังคงสวยงามขนาดไหน
ขอบคุณเหตุการณ์ที่ไม่ดี ที่ให้ให้รู้ว่า เราสามารถเข็มแข็งได้ขนาดไหน
ขอบคุณธรรมชาติ ทำให้เรารู้ว่า ชีวิตมีความงดงามและยิ่งใหญ่เพียงไหน
ขอบคุณความดี ที่ทำให้เรารู้ว่า เรายังไปคนดีได้มากขึ้นอีกเท่าใด
การกล่าวขอบคุณให้ทำในทุกๆ วัน ทั้งตอนเช้า และก่อนนอน คำว่าขอบคุณเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ ที่ทำให้เรามีกำลังใจในเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเรา เป็นอารมณ์ที่ทำให้เราสามารถดึงพลังจากภายในได้อย่างไม่สิ้นสุด และเพื่อการสร้างความสำเร็จตามเป้าหมายของตัเราเอง เราจึงจำเป็นต้องสร้างพลังให้กับตัวเองเสียก่อน
หลังจากการกล่าวขอบคุณแล้ว ให้สัมผัสหัวใจตัวเองดูว่า เรารู้สึกอย่างไร ตอนนี้แหละเป็นตอนที่เรารับรู้ถึงพลังของชีวิต จิตใจจะมีพลังที่เพิ่มขึ้น ทำให้เราสามารถจินตนาการเรื่องราวต่างๆ ได้แล้ว เราใช้พลังแห่งการขอบคุณนี้ จินตนาการถึงภาพความสำเร็จของเราที่เราต้องการ ในหัวใจแห่งผู้ประกอบการ เราต้องวาดภาพนั้นให้ชัดเจน ทุกรายละเอียกต่างๆ อย่างช้าๆ ปล่อยให้ใจพาเราไปยังบรรยากาศแห่งความสุข ความสำเร็จของเรา ณ จุดที่เราต้องการอยากให้เป็น เรามาลองดูกัน
ให้เรายืนขึ้น กางขาออกเล็กน้อยในท่าทางที่มั่นคง ท่านี้ทำให้จิตใจเราเข้มแข็งที่สุด จากนั้น หลับตาลง ให้เรานึกถึงภาพของเป้าหมายที่เราอยากได้ (จากตอนที่ 3) ให้ตัวเรา ได้รับเป้าหมายนั้นแล้ว ให้คนที่เราอยากให้อยู่ด้วยในวันที่เราได้รับเป้าหมายนั้นมาอยุู่ในภาพของเรา เมื่อเราได้อยุู่ในเป้าหมายนั้นเราเรียกว่า “ความสำเร็จ” ทำภาพความสำเร็จให้เคลื่อนไหวได้ เป็นภาพแสดงความยินดี ภาพการทักทาย ภาพการสวมกอด ภาพท่ายืนแห่งความภูมิใจของเราและบุคคลรอบข้าง
เมื่อมีภาพเคลื่อนไหวแล้ว ให้เราจินตนาการถึงคำพูดของเรา ที่เราจะพูดกับตัวเอง พูดกับบุคคลรอบข้างในวันที่เราสำเร็จ ให้เราจินตนาการเสียงบรรยากาศรอบๆ ตัวเราเราจะได้ยินเสียงอะไรบ้างในวันที่เราสำเร็จ ให้เราจินตนาการถึง เสียงลม เสียงนก เสียงสายน้ำ หรือเสียงปรบมือที่อยู่รอบๆ ตัวเราในวันที่เราได้รับความสำเร็จนั้น
ให้เราจินตานาการต่อไปว่า ณ เวลาที่เราประสบความสำเร็จแล้ว อากาศจะร้อนจะหนาวอย่างไร ให้จินตนาการของเรา พาเราให้เรารู้สึกถึงความร้อนความหนาวนั้น
ให้เราจินตนาการว่า เรายังคงอยู่ในภาพความสำเร็จนั้น ให้เราซึมซาบความรู้สึกต่างๆ ความภูมิใจ ความตื้นตันใจ ความดีใจ กับบรรยากาศรอบๆ ตัวเรา ให้เวลาแห่งความสุขจากจินตนาการของเรานั้น ดำเนินต่อไปสักระยะหนึ่งจนรู้สึกว่า พลังของเราเอ่อล้นออกมาจากหัวใจและอยากจะสร้างความสำเร็จนั้นให้เป็นจริงเดี๋ยวนี้ ให้เราจดจำภาพ และรายละเอียดต่างๆ เอาไว้ อย่างดี และให้เราคิดจินตนาการแบบนี้ทุกครั้งที่เรารู้สึกว่า พลังในการไขว่คล้าความสำเร็จ เริ่มที่จะลดลง หรือเหนื่อยล้า พลังจินตนาการจะสามารถสร้างพลังของเราได้
การใช้จินตนาการกับการแก้ปัญหาและการวางแผน
จินตนาการ ยังมีพลังมากมายมากกว่าการวาดภาพความสำเร็จเท่านั้น เรายังใช้จินตานาการในการวางแผนได้อีก เป็นการสร้างภาพเหตุการณ์ในการดำเนินงานของเราที่เราต้องการบรรลุผล ทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ เช่น การแก้ปมเชือก จนถึงการสร้างเครื่องจักรขนาดใหญ่ แม้กระทั้งการสร้างทฤษฎีทางความคิด จินตนาการเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพราะอะไรหรือ เพราะจินตนาการเป็นเรื่องที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น หรือเรียกได้ว่าเป็นอนาคตภาพ หรือการสร้างความจริงแบบเสมือน จึงทำให้เกิดการพัฒนาปรากฎการณ์ตามความต้องการของเราเอง
การแก้ปัญหา แน่นอนต้องเริ่มต้นด้วยปัญหา ปัญหาคืออะไร?
ปัญหาคือส่งที่เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้น ซึ่งปัญหามีอยู่ 2 แบบ คือปัญหาทางกายภาพ หรือปัญหาที่เห็นตัวตน จับต้องได้ เห็นตัวได้ ได้ยินได้ และแบบที่ 2 ปัญหาทางอารมณ์คือรู้ว่ามีปัญหาจากเริ่มต้นด้วยการ รู้สึกได้ แล้วจึงเปลี่ยนแปลงจากความรู้สึกเป็นเหตุผล ของเราต่อไป
ปัญหาทั้ง 2 แบบ ต้องการการจัดการอะไรบางอย่าง เพื่อให้สิ่งที่เราไม่ต้องการนั้น หายไป หรือ กลายเป็นสิ่งที่เราต้องการ ณ จุดนี้ ณ วินาทีนี้ เราเอง ต้องอาศัยจินตนาการ เพื่อเป็นปลายทางที่เราไม่ต้องการไม่ให้เกิดขึ้น และเกิดเฉพาะในสิ่งที่เราต้องการ
การจินตนาการ นอกจากยังใช้แสดงภาพปลายทางตามที่เรากำหนดแล้ว ยังใช้ในการแสดงเหตุการณ์ระหว่างทางด้วย เพื่อบอกว่า ระหว่างทางเราต้องการให้เกิดอะไรบ้าง โดยปกติแล้ว การจินตนาการภาพระหว่างในการแก้ปัญหานั้น เราเรียกว่าการวางแผน และด้วยพลังจินตนาการนั้น เป็นการสร้างแผนที่แสดงรายละเอียดได้มากกว่าตัวหนังสือที่ถ่ายทอดกันออกมาอยู่ในกระดาษ ซึ่งการบรรยายภาพต่างๆ โดยการใช้ตัวหนังสือ จะต้องใช้ปริมาณหนังสือจำนวนมาก เพื่อเขียนรายละเอียดออกมาจนหมด หลายครั้ง จึงใช้รูปมาแสดงรายละเอียดแทน
การจินตนาการ สามารถใส่รายละเอียดได้มากกว่ารูปที่แสดงออกมาเพราะไม่มีข้อจำกัดทางด้านเนื้อที่ สี แสง เสียง ทุกอย่างไร้ขีดจำกัด ดังนั้น การจินตนาการสามารถสร้างภาพปลายทางการการแก้ปัญหา สร้างรายละเอียดของแผน สร้างอารมณ์ และเกตุการณ์ต่างๆ ของการดำเนินการทุกอย่าง ช่างเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มาก สร้างอะไรก็ได้ที่เราต้องการ ไร้รูปแบบ ไร้ข้อจำกัด กำหนดรายละเอียดได้มากกมาย
เมื่อเราจินตนาการที่อยู่แล้ว ครางนี้ถึงเวลาเอาภาพเหล่านั้นมาเรียร้อยเป็นขึ้นเป็นตอน ซึ่ง เป็นการกำหนดแผนการณ์ของเรานั้นเอง แผนการณืนี้ ใช้ตอบปัญหาของเรา ที่เราต้องการให้เกิดขึ้น และ สิ่งที่เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
ให้เรากลับมาสู่โหมดจินตนาการอีกครั้ง เรามาอยู่กลับตัวเอง หลับตาลง แล้วค่อยๆ ปล่อยความคิดของเรา แบบไม่ต้องเค้น ไม่ต้องบังคับ ให้ใจสนุกไปกับความคิด ภาพ แสง เสียง อามรณ์ที่เกิดขึ้น ปล่อยให้ความคิดของเรา สร้างเหตุการณ์ ภาพ ในแบบที่เราต้องการตั้งแต่นาทีนี้ วินาทีนี้ ให้ภาพนั้นดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ให้เห็นรายละเอียดต่างๆ เห็นผู้คน เห็นที่ทุกอริยาบทของเราเอง ของคนที่อยู่รอบข้าง ปล่อยในเหตุการณ์ดำเนินไป ทีละฉาก ทีละฉาก จนถึงปลายทางที่เราต้องการ
จากนั้น ให้ที่การเรียบเรียงเรื่องลาวที่เราจินตนาการขึ้นมา เป็นแผนการ เป็นรูปแบบการทำงาน เป็นการจดบันทึกความคิดของเรา เพื่อให้สามารถกลับมาตรวจสอบได้ สิ่งที่ตองระมัดระวังในการใช้จินตนาการคือ จินตนาการมาเร็ว เกิดได้ง่าย และผ่านไปเร็ว หากเราไม่มีสติในการรวบรวมความคิด จินตนาการเหล่านั้น จะกลายเป็นฝันกลางวัน และจะหายไป โดยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในที่สุด
💗💗💗💗💗💗💗💗