วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2563

หัวใจผู้ประกอบการฉบับวัยรุ่น ตอนที่ 6


แนวคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม ความแตกต่าง

ความคิดสร้างสรรค์ ใครๆ ก็ว่าดี นวัตกรรม ใครๆ ก็ว่าเจ๋ง การเป็นผู้ประกอบการในโลกยุคที่ข้อมูลเข้าถึงได้ง่ายมาก ยุคที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้ ที่มีไอเดียดีๆ กลายเป็นเศรษฐีทั้งหมด เราเห็นตัวอย่างมากมายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ที่เป็นพื้นที่ให้เราสามารถแสดงพลังของความคิดได้ แต่นั้น ก็ยังเป็นเพียงคนส่วนน้อยที่สามารถแสดงความคิดได้อย่างทรงพลังมีความโดดเด่น

สถานะการณ์ทางธุรกิจของโลกยุคปัจจุบัน ตั้งแต่โลกเราเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ หรือหลังจากปี 2000 เป็นต้นมา เป็นยุคที่ข้อมูลที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ มีการส่งต่อถึงกันได้ง่าย ในรูปแบบของ ข้อความ ภาพ เสียง ภาพวิดีโอ รหัสต่างๆ การเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เราเรียกกันว่าระบบอินเตอร์เน็ต ที่นับวันจะมีวามรวดเร็ว และรองรับการส่งข้อมูลในปริมาณที่มาขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงการส่งข้อมูลที่มีความคงเส้นคงวา หรือภาษาคอมพิวเตอร์เรียกว่า สเถียร มาขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ราคาการส่งข้อมูลดูถูกลงเรื่อยๆ เกิดอะไรขึ้นหรือ ผู้คนสามารถส่งข้อมูลที่มีความละเอียด สมจริง ที่มีเวลาที่มากขึ้น นานขึ้น มีมิติของข้อมูลได้มากขึ้นเรื่อยๆ และมีจำนวนคนเข้ามาร่วมกันใช้ระบบการส่งข้อมูลที่เราเรียกว่า ระบบอินเตอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลาอยู่กับอินเตอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ และข้อมูลของเราก็อยู่บนอินเตอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน


พฤติกรรมหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงไป คือ ในอตีต ยุคช่วงก่อนปี 2000 ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นผู้รับข้อมูลเพียงทางเดียว ช่องทางการสื่อสารมวลชนหลัก คือ โทรทัศน์และวิทยุ เป็นรูปแบบการสื่อสารแบบทางเดียว แต่ปี 2010 เป็นต้นมา โลกเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภค กลายเป็นผู้ผลิตข้อมูลเอง ถ่ายทอดเอง และทำได้ง่ายขึ้นมากๆ เนื่องมากจากการใช้ระบบโครงสร้างทางอินเตอร์เน็ตเชื่อมคนเข้าด้วยกัน ถ้าเรารู้จักกันดี ก็เป็น Facebook Youtube Line และอีกสารพัดระบบ แล้วเกิดอะไรขึ้นหละ


สิ่งที่เกิดขึ้น คือการแย่งชิงความสนใจ เรียกว่า ทำอย่างไรก็ได้ ให้มีคนมาชม มาเยี่ยม มากดถูกใจ มาให้คอมเม้นท์ มาแชร์ อะไรก็ได้ให้มากที่สุด เพื่อให้ได้ ประโยชน์ทางใจ ประโยชน์ทางการค้า วิธีการที่จะทำให้ได้สิ่งเหล่านี้มา คือการสร้างเนื้อหา รูปแบบ และกระบวนการที่ทำให้ผู้คนถูกใจ หรือเราเรียกว่าควมคิดสร้างสรรค์ เพราะความคิดสร้างสรรค์ ทำให้มนุษย์ได้รับความพึงพอใจ ได้รับประโยชน์ เป็นแรงดึงดูดให้มนุษย์วิ่งเข้าหาความคิดสร้้างสรรค์


ในอีกทางหนึ่งที่จะเป็นต้องมีความคิดสร้างสรรค์ เพราะมีการพัฒนาเทคโนโลยีชนิกหนึ่งขึ้นมา ภาษาไทยเรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ ภาษาอังกฤษคือ Atificial Ittelegent หรือ AI แล้วมันคืออะไร??? ถ้าจะพูดกันง่ายๆ AI คือ ชุดคำสั่งที่ให้คอมพิวเตอร์ สามารถประมวลผลจากตัวเองได้ และนำผลที่ได้นั้นมาเปรียบเทียบกับคำสั่ง เพื่อให้มีการพัฒนาตัวเองจนมีความแม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆ นำมาแทนการคิดของมนุษย์ ยกตัวอย่าง เราคงรู้จัก Google แปลภาษา หลายคนคงได้ใช้มาแล้ว ในช่วงปี 2010 พบว่า Google แปลภาษา จะแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยที่ยังเพี้ยนๆ อยู่ แต่ในโปรแกรมของ Google จะมีช่องให้ช่วยแก้ไขหลักจากแปลภาษาเสร็จ ดังนั้น เมื่อผู้ใชงานให้ระบบแปล และมีการแก้ไข ระบบจะทำการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ คล้ายๆ กับการเรียนรู้ของคน จนมีความแม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆ คาดการณ์ว่าปี 2025 Google แปลภาษาจะทำหน้าที่ได้เหมือนคนแปลเองและมากกว่า 140 ภาษาทั่วโลก อันนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น โดยจริงแล้วมีการใช้งานอยู่ในหลายอุตสาหกรรม ขอเพียงแค่มีปริมาณข้อมูลที่มากเพียงพอ ซึ่งในยุค 2000 เป็นต้นมา ผู้บริโภค เป็นผู้ผลิตข้อมูล และมีการส่งข้อมูลถึงกันตลอดเวลา ทั้งแบบที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว


สิ่งที่จะเกิดขึ้นของเทคโนโลยี AI คือ อะไรที่ทำซ้ำๆ คอมพิวเตอร์จะเรียนรู้ในการหาผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ และทำไมดีกว่าคนหรือ ด้วย 2 เหตุผลคือ คอมพิวเตอร์คำนวณได้เร็วกว่าคน หรือเพิ่มกำลังการคำนวณได้จากการใช้เครื่องคอมพิเตอร์หลายๆ เครื่อง คนทำไม่ได้เพราะสมองคน ไม่ได้เอามาเชื่อมกันเหมือนคอมพิวเตอร์ และเหตุผลที่ 2 คอมพิวเตอร์ไม่มีคำว่าลืม เพราะทุกอย่าง อยู่ในฐานข้อมูลหมดแล้ว ทำไมคนถึงลืมหละ??? ก็เพราะว่า การจำของคนต้องใช้พลังงานเอามาเลี้ยงสมอง การลืมเป็นการลดการใช้พลังงาน แต่คอมพิวเตอร์ ใช้วิธีการบันทึกลงในหน่วยความจำ ซึ่งยังเก็บข้อมูลได้เมื่อไม่มีพลังงานมาเลี้ยง เรามักจะรู้จัดกันดีในอุปกรณ์ที่เราเรียกว่า ฮาร์ดดิส

ดูไปดูมา เหมือนคอมพิวเตอร์จะเก่งกว่าคนซะแล้ว ก็จริงนะ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด สิ่งหนึ่งที่คอมพิวเตอร์ยังไม่สามารถทำได้ตอนนี้คือ ความคิดสร้างสรรค์ หรือความคิดใหม่ๆ โดยไม่อาศัยข้อมูลในอดีต คอมพิวเตอร์ยังทำไม่ได้ เพราะคอมพิวเตอร์ต้องการข้อมูลในอดีตมาเป็นฐานในการคำนวณ ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องเรียนรู้การสร้างความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้ยังสามารถสร้างความโดดเด่น และอยู่ริดในยุคของการสื่อสารที่ผู้บริโภคเป็นใหญ่

ความคิดสร้างสรรค์คืออะไร?

นิยามของความคิดสร้างสรรค์มีหลายอย่าง แต่โดยรวมๆ แล้วเป็นเรื่องเกี่ยว “การสร้างความคิดใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการหรือแก้ปัญหาอะไรบางอย่าง”

ความคิดสร้างสรรค์ จะประกอบด้วย ความคิด ความใหม่ การแก้ปัญหา แต่ก่อนอื่นขอขยายความการแก้ปัญหาก่อน การแก้ปัญหาในที่นี้มีความหมายกว้างมาก เพราะหมายถึง ปัญหาจริงๆ ที่เป็นอยู่ หรือเรียกว่าสถานะการณ์ที่ไม่ต้องการ ไม่พอใจ สถานะการณ์ที่มีความเสียหาย ควมเดือนร้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว หรือ กำลังจะเกิดขึ้น

ปัญหาให้ความหมายกว้างขึ้น คือ ความรู้สึกอึดอัด ความอยากได้ ความต้องการมีเกิดขึ้น อันนี้ ก็จัดว่าเป็นปัญหาอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะว่า เป็นสภาวะที่เราต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นสภาวะที่เราต้อง “อดทน” “จำทน” หรือ “ทนทุกข์” ในสิ่งที่เป็นอยู่ แม้จะเป็นในระดับอารมณ์ก็ตาม

ความคิดสร้างสรรค์ เป็นการสร้างแนวทาง ในการแก้ปัญหา ซึ่งรูปแบบในการเกิดความคิสร้างสรรค์ มีอยู่ดังนี้

1. แบบที่เป็นแนวคิด รูปแบบนี้ ผลของความคิดสร้างสรรค์จะออกมาเป็นวิธีการ แผนงาน หรือ ขั้นตอนการกระทำอะไรบางอย่าง รูปแบบนี้ เป็นการเน้นการตอบสนองในการแก้ปัญหาจากการกระทำ บางครั้ง อาจจะออกมาในรูปของกฎระเบียบ ข้อบังคับ ก็ได้

2. แบบที่เป็นผลงานทางศิลปะ หรือทางภาษา รูปแบบนี้ จะเริ่มจับต้องได้ สัมผัสได้ เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น ผลงานเพลง ผลงานการออกแบบ ผลงานการเขียน ที่ถูกคิดขึ้นมาใหม่ รูปแบบนี้ จะเป็นการเน้นการตอบสนองทางอารมณ์เป็นหลัก

3. แบบที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ รูปแบบนี้ เป็นรูปแบบที่ สร้างความคิดใหม่ ถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบของสิ่งของเพื่อการใช้งาน ตอบสนองทางอารมณ์ แต่อยู่ภายใต้เทคโนโลยีเดิม เช่น การประดับตกแต่ง เครื่องดินเผาการออกแบบทรงและลวดลาย เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ จะเห็นได้บ่อยๆ คืออุปกรณ์ตกแต่งบ้าน 



ความคิดสร้างสรรค์มาจากไหน

ความคิดสร้างสรรค์ มาจากการทำให้ต่าง ต่างจากของเดิม ต่างจากคนอื่น จุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์จึงทำให้ต่างจากคนอื่น แต่การทำให้ต่างจะต้องการเผชิญหน้ากับความอึดอัดอย่างหนึ่งคือ ความกลัว

ความกลัวที่ว่านี้ เป็นความกลัวที่จะถูกนินทา ทั้งที่ได้ยินเอง หรือ “มโน” ว่าได้ยินก็ตาม โดยเฉพาะการมโนว่าเราถูกนินทา หรือ กลัวไปก่อนล่วงหน้า ใช้แล้วมนุษย์ เป็นพวกที่ต้องการป้องกันตนเอง จึงคิดไปก่อนล่วงหน้าต่างๆ นานา ว่าจะโดนแบบโน้น จะถูกแบบนี้ ทั้งที่ยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม

ความกลัวนี้มาจากไหน ก็มาจากประสบการณ์ในอดีต บางคนอาจจะโดยต่อว่ามาจากการทำให้แตกต่างจากคนอื่น หรือบางคนเห็นว่าคนอื่นโดนว่า โดยเฉพาะตอนเด็กๆ เรามักจะสอนเด็กว่า อย่าทำอะไรพิศดารนัก เป็นเด็กเรียบร้อยหน่อยสิ คิดอะไรประหลาด ไม่มีใครเขาทำกัน ไม่ดีหรอก คำเหล่านี้เป็นคำที่สร้างปมความกลัวไว้ในพวกเราตั้งแต่ยังเล็ก

สังคมทางเอเซีย รวมถึงในสังคมไทย เป็นสังคมที่ต้องการการเคารพลำดับอาวุโส และความเป็นพวกเดียวกัน ดังนั้น ใครกฌตามที่ทำผิดแผกจากคนอื่น จะถูกมองว่าเป็น “แกะดำ” “กาในฝูงหง” “นอกคอก” “ผ่าเหล่า” ลองดูแต่ละคำ ให้ความรู้สึกทางลบทั้งนั้น จึงทำให้เรารู้สึกว่าการทำอะไรให้แตกต่างเป็นเรื่องที่น่ากลัว

ทางออกหรือ เราต้องมาแยกแยะว่า อะไรเป็นเรื่องจริง และอะไรเป็นเรื่องมโน เรื่องจริงหมายถึง การทำตัวให้แตกต่างแล้วสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น แบบนี้ก็ไม่ควรที่จะต่าง แต่ถ้ากรณีที่เป็นเรื่องมโน หมายถึง เราทำให้แตกต่าง แล้วไม่พบว่าทำให้ใครเดือนร้อน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แต่ยังกลัวอยู่ แปลว่าเรากำลังมโนเอง ตัวมโนนี้ เป็นตัวขวางกันความแตกต่างที่เป็นต้นกำเนิดของความคิดสร้างสรรค์

ฝึกสร้างความคิดสร้างสรรค์

การคิดให้ต่าง ก็จะให้เกิดความใหม่ แต่ใหม่แบบไหนถึงจะมีคุณค่า เรื่องนี้รู้ได้ไม่ยาก แค่ถามตัวเราเองว่า เราต้องการอะไรในการคิดต่าง และสิ่งที่เราทำให้ต่างไปเพื่ออะไร ถ้าทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวเมื่อไหร่ จะกลายเป็นความแตกต่างที่ดี และนั่นแหละ คิดความคิดสร้างสรรค์

ความคิดสร้้างสรรค์ ต้องสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ หรือแก้ปัญหาได้ โดยเฉพาะ การแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์มีคุณค่าทันทีที่แก้ปัญหาให้เราได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่ความคิดแปลกใหม่ และยังเอาไปใช้ประโยชน์ หรือไม่รู้จะใช้ประโยชน์อะไร เราจะเรียกว่า “คิดไร้สาระ”

แต่ความคิดไรสาระ ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ซะทีเดียว เพราะอะไรหรือ? เพราะการคิดไร้สาระเป็นแหล่งของความคิดสร้างสรรค์ เราลองมาจิตนาการเล่นๆ ก็ดู เรากำลังยืนอยู่ในสนามหญ้าแห่งหนึ่งที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน มีจอบหน้าตาแปลกๆ มีพลั่วที่เราไม่เคยเห็น มีไม้ขนาดกำพอดีมือยาว 1 เมตร มีเชือกที่ทำด้วยวัสดุประหลาด มีผ้าใบรูปร่างแปลกๆ มีทางมะพร้าว รอบๆ สนามหญ้ามีต้นไม้นานาชนิด ทั้งต้นเล็กต้นใหญ่ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต

คำถามคือ เราจะทำอะไรดี....

คำถามนี้ ดูจะงงๆ หน่อย อยู่ก็มาถามอะไร ไม่เข้าใจ ทำทำไม ปล่อยไว้แบบนั้นแหละ ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย กลับบ้านดีกว่า อะไรก็ไม่รู้ น่ากลัว ไม่มีใครเค้าเคยทำกัน ทุกอย่างแปลกไปหมด

แต่ถ้าเป็นพวกชอบคิดแบบไร้สาระ (เพื่อให้ได้สาระ) ก็จะเริ่มทำการสำรวจว่า มีอะไรบ้างอยู่ตรงนี้ และเริ่มเล่นกับของที่มี เล่นไปเพื่ออะไรเหรอ ก็เพื่อความสนุก ไม่มีอะไรมากกว่านั้น พวกชอบคิดไร้สาระ ก็จะคิดเพื่อความสนุกเท่านั้น

แต่ทันใดนั้น มีปัญหาโยนเข้ามา บอกว่า เราต้องปฎิบัติภาระกิจทำอาหารให้เสร็จภายใน 1 ชั่วโมง ทีนี้ ใครจะสามารถทำภาระกิจนี้เสร็จก่อนกัน 

คนที่สามารถทำได้ต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์มาก่อน ถึงจะทำได้ แน่นอน พวกที่ชอบคิดไร้สาระ จะมีประสบการณ์มาก่อนเท่านั้น จึงจะรู้ว่า สิ่งที่มีอยู่แต่ละอย่าง จะใช้ทำอะไรได้บ้าง โดยเฉพาะคนที่ลงมือเล่นกับเครื่องมือต่างๆ มาแล้ว การเล่น คือ การสร้างสนามประสบการณ์ เพื่อให้สามารถสร้างทางออกสำหรับปัญหา

แต่การเล่นในความคิดไร้สาระนั้น โดยใช้จินตนาการของเราเอง เราเรียกว่า คิดเล่นๆ เป็นกระบวนการที่สำคัญในการสร้างความคิดสร้างสรรค์ เพราะการคิดเล่นๆ เป็นวิธีการที่ทำให้เราข้ามความกลัวได้ เนื่องจากเรารู้ว่า ไม่ใช่เรื่องจริง เลยไม่จำเป็นต้องกลัวใครมาว่า ทำอยู่อย่างในความคิดของเรา เป็นจุดที่มีความปลอดภัย มีความเป็นส่วนตัวมาก เราจึงกล้าที่จะคิดอะไรก็ได้ เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องสมมติ

เมื่อใดก็ตามที่การคิดเล่นๆ เอาไปใช้ประโยชน์ได้ ตรงนั้นแหละ จุดสร้างสรรค์ เกิดทันที แต่ความคิดสร้างสรรค์ยังไม่จบเท่านั้น เพราะว่า เราต้องคิดต่อในรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้ยืนยันทางความคิดว่า ความคิดของเราจากจุดความคิดสร้างสรรค์ สามารถใช้งานได้จริงหรือไม่ และต้องการรายละเอียดอะไรเพิ่มเติมได้อีก

คิดเล่นๆ แต่ทำจริงๆ

การสร้างความคิดสร้างสรรค์ จะสร้างออกมาได้ จะเจอกำแพงอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ออกมาคือ การบังคับให้ออก ยิ่งเราบังคับมาเท่าไหร่ สมองเรา จะสร้างกำแพงเพื่อตีกรอบความคิดมากขึ้น ควาคิดของเราจึงวนเวียนอยู่กับประสบการณ์หรือความคิดเก่าๆ

ทำไงหละ เพื่อให้กำแพงหายไป ก็ ง่ายนิดเดียว อย่าไปบังคับมันให้ออกมา แล้วใช้คำว่า “ถ้า...แล้ว...” บ่อยๆ เราต้องไม่ลืมว่า สมองมนุษย์ถูกออกแบบมาให้หลีกเลี่ยงอันตราย ดั้งนั้น การที่เราคิดอะไรแปลกใหม่ สมองจะทำงานโดยอัตโนมัติว่า เป็นเรื่องที่ไม่มีแผนการรองรับ อาจจะอันตรายได้ สมองจำสร้างกำแพงความคิดขึ้นมาทันที

การใช้คำว่า “ถ้า....แล้ว...” สองของเราจะรู้ทันทีว่า ไม่มีอยู่จริง ดังนั้น สมองจะบอกว่า สิ่งนี้ไม่อันตราย สามารถคิดต่อได้ เราใช้จุดตรงนี้ มาเล่นกับความคิด เป็นการ คิดเล่นๆ เล่นหมายถึง สมมุติในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ตามที่เราชอบ ถ้าเราไม่ชอบ เราก็จะไม่เล่น เราจึงเล่นในสิ่งที่เราชอบ

อ้าว แล้วจะเล่นไปถึงไหน กลับไปดูเป้าหมายของเราสิ เราอยากได้อะไร เป้าหมายคือสิ่งที่เราชอบ เราก็ลองคิดเล่นๆ ดูว่า เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย ลองออกแบบธุรกิจดู จำลองสถานการณ์ ผ่านการจรินตนาการ แล้วทำให้ให้เกิดของใหม่ เป็นความิดสร้างสรรค์ดู

คิดไปเรื่อยๆ และสนุกกับความคิดจนได้รับความสุขจากความคิด อย่าไปตกใจกับความคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น และอนุณาติให้เรา มโน เข้าข้างตัวเองได้ จงยิ้มไปกับความคิด ชื่นชมความสำเร็จในความคิด ตื่นเต้นกับความคิดใหม่ เหมือนเด็กๆ ที่ดีใจเมื่อต่อของเล่นไม้เป็นรูปร่างในจินตนาการได้ 

เมื่อเห็นความคิดมีความชัดเจนแล้ว เราก็มาเรียบเรียงใหม่ เป็นแผนการ วิธีการ รูปแบบ รูปร่าง รูปทรง อะไรก็แล้วแต่ที่ปรากฎอยู่ในความคิด ทำให้เป็นจริงขึ้นมา เพราะว่าความคิดจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าไม่ถูกถ่ายทอดออกมา คิดอย่างเดียว ไม่เก็บเอาไว้ จะกลายเป็น ฝันกลางวัน เราคงยังไม่อยากเป็นคนที่เฟ้อฝัน และยิ้มน้ำลายไหลอยู่คนเดียวใช่มั้ย เราอยากได้ฝันที่มีคุณค่าและทรงพลังใช่มั้ย ดังนั้น เราทำเรื่องเล่นๆ ให้กลายเป็นจริงโดยการคิดเล่นๆ เพื่อเป้าหมายจริงๆ 

แต่ถ้าคิดไปคิดมาแล้ว รู้สึกว่าไม่ใช่ อย่าเพิ่งเครียด อย่างเพิ่งตกใจ เพราะเป็นเพียงความคิด เราก็แค่ คิดเล่นๆ ต่อไป ของให้ทุกคนมีความสุขกับความคิด

💕💕💕💕💕💕💕💕💕💕💕

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2563

หัวใจผู้ประกอบการฉบับวัยรุ่น ตอนที่ 5


โอกาสทางธุรกิจ และโอกาสของชีวิต

โอกาส มาจากไหน โอกาสคืออะไร คำถามง่ายๆ แต่หลายๆ คนตอบไม่ได้ รู้แต่ว่ามีโอกาส 

โอกาสคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่เรารู้ว่ามีค่า เรารู้ว่ามีประโยชน์ และโอกาสไม่คงทน มาแล้วก็ไป แต่บางคนก็เก่งกว่านั้น เพราะออกไปหาโอกาสได้ เรียกว่า ไม่ยอมให้โอกาสมาวิ่งชนไปวันๆ โอกาสคำนี้ ฟังดูดี แต่ลองคิดดูดีๆ 


“โอกาสมาจากไหน?”


บางคนบอกว่าโอกาสมาจากการสร้างให้ตัวเองมีโอกาส
บางคนบอกว่า โอกาสมาจากการให้โอกาสคนอื่น แล้วตัวเองจะมีโอกาส
บางคนบอกว่า โอกาสเกิดจากการที่เราพร้อมที่จะรับโอกาส
แล้วจริงๆ แล้ว โอกาส มาจากไหน....   อะไรที่ทำให้แต้่ละคนมีโอกาสไม่เท่ากัน


คนที่ประสบความสำเร็จ เป็นคนที่เรียนรู้จะใช้โอกาสต่างๆ ให้เกิดประโยชน์ และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับตนเอง จริงหรือ โอกาสต้องสร้างขึ้นมา ลองคิดลึกๆ มองดีๆ จะพบว่า โอกาส คือสิ่งที่อยู่รอบตัวเราเอง ไม่ต้องสร้างขึ้นมาแต่อย่างใด และความหมายของโอกาสคือ


“ช่องทางการสร้างประโยชน์ให้แก่เราเอง ในอนาคต”


โอกาส อยู่ที่การมองเห็น เห็นอนาคตของตัวเองที่ได้ประโยชน์จากอะไรบางอย่าง จากสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา เช่น คนรู้จัก บุญคุณ ความรู้ของเราเอง ความสามารถของเรา เพื่อน ข้อมูลที่อยู่ในตัวเรา วิธีการคิดของเรา ความกล้าได้กล้าเสีย บุคลิกภาพ การแต่งตัว การพูด รอยยิ้ม ฯลฯ อีกมากมาย อยู่ที่ว่า เราสามารถจินตนาการอนาคตของเราได้มากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญ เราใส่ใจกับสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเราได้มากแค่ไหน ตรงนั้น ทำให้โอกาสของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

แบบทดสอบการเห็นโอกาส

เราลองมาฝึกความสามารถในการมองโอกาสดู ให้เราทบทวนตั้งแต่ตืนนอนจนถึงตอนนี้ เราได้พบอะไรเข้ามาในชีวิตวันนี้บ้าง ค่อยๆ นึกว่า เราเจออะไรมาบ้างอย่างช้าๆ

เรามาคิดต่อว่า แต่ละอย่างที่เราเจอในวันนี้ เราได้ประโยชน์อะไรบ้าง?
สิ่งที่เราเจอในวันนี้ เราจะสามารถสร้างประโยชน์อะไรได้บ้างในอนาคต?

เห็นแล้วใช่ไหม นั่นแหละโอกาส โอกาสของชีวิต ไม่ยากเลย

เมื่อเราเห็นโอกาสแล้ว สิ่งต่อไปที่มักจะเกิดขึ้นเสมอคือ เราลืม!!!! โอกาสนั้น เพราะเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับโอกาส ดังนั้นเมื่อสิ่งที่เราคิดว่าไม่สำคัญสมองอันชาญฉลาดของเรา ก็ทำหน้าที่สั่งว่า สิ่งนี้คือสิ่งที่ไม่ต้องการ ลบข้อมูลหรือความคิดทิ้ง!!!! บางครั้ง อาจจะลบทิ้งในทันที บางครั้งอาจจะนานกว่านั้นก็ได้ เป็นนาที เป็นชั่วโมง เป็นวัน หรือนานหลายปี ขึ้นกับว่าสมองของเราให้ความสำคัญมากน้อยขนาดไหน 

อีกประเด็นหนึ่งที่โอกาสมักจะหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะโอกาสเป็นสิ่งเกิดขึ้นจากสิ่งที่อยู่รอบข้าง โอกาสจึงเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ธรรมชาติของโอกาส เป็นช่องทางที่เกิดขึ้นเพราะสิ่งรอบข้าง เมื่อสิ่งรอบข้างเปลี่ยนแปลง โอกาสย่อมเปลี่ยนแปลงด้วย โอกาสจึงมาๆ หายๆ หรือมาแล้ว ก็หายไปเลย โอกาสจะกลายเป็นประโยชน์ได้ เมื่อคนที่พร้อมจะใช้ช่องทางประโยชน์นั้นในเวลาที่เหมาะสม... หรือเวลาที่โอกาสมา

เพราะเหตุนี้เอง เวลาเราเห็นโอกาสเราต้องทำทันที ไม่รอให้โอกาสผ่านเลยไป เพราะ เราอาจจะลืมโอกาสนั้น และ โอกาสนั้น ไม่รอเราเมื่อเวลาผ่านไป แต่สำหรับคนที่มีความสามารถในการเห็นโอกาส จะสามารถจับจังหวะการเกิดโอกาสได้บ่อยๆ เพราะจริงๆ แล้ว โอกาสเกิดจากอะไรก็ได้ แค่เราจินตนาการให้ออกว่า อะไรจะเป็นประโยชน์แก่เราในอนาคต
คนที่มีความสามารถในการเห็นโอกาสคือ คนที่มีนิสัยดังนี้

1. ใส่ใจในรายละเอียดรอบข้าง
2. ใช้จินตนาการได้อย่างรวดเร็ว
3. มีความพร้อมในตัวเอง
4. ให้ความสำคัญกับสิ่งที่คิดว่าเป็นโอกาส
5. มองโลกในแง่ดี เห็นอะไรก็ดีไปหมด
6. ลงมือจัดการกับโอกาสนั้นทันที แม้จะเป็นกิจกรรมเพียงเล็กน้อยก็ตาม

การพัฒนาแนวคิดเชิงบวก

แนวคิดเชิงบวกเป็นสิ่งที่ช่วยให้สมองเห็นโอกาสได้ง่ายขึ้น เพราะการคิดเชิงบวก คือการคิดในแง่ดี อะไรๆ ก็ดี นั่นหมายความว่า สมองมองเห็นคุณค่า มองเห็นประโยชน์ ในสิ่งที่เกิดขึ้น สมองรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ชีวิตได้รับอะไรบางอย่าง ใช่แล้ว นั่นคือโอกาสนั่นเอง เรื่องดีๆ ประโยชน์ โอกาส เป็นเรื่องเดียวกัน
งั้นเราต้องหัดมามองสิ่งสวยงามก่อน เพื่อให้เป็นทักษะในการมองแง่ดี มองโลกเชิงบวก ลำดับการเกิดความคิดเชิงบวก   
  

ความสวยงาม เห็นอะไรก็จะเบิกบาน ชื่นชม และรู้สึกปลอดภัย สมองจะลบความคิดการป้องกันตัวเองออกไป ในตอนนั้นเอง จะเปิดรับเรื่องราวต่างๆ เข้ามาทำให้เห็นประโยชน์มากมายที่เกิดขึ้น สุดท้ายกลายเป็นโอกาส


การหัดมองโลกให้สวยงาม

ฟังดูเป็นเรื่องแปลกๆ การมองโลกให้สวยงาม ต้องมาหัดด้วยหรือ จริงๆ  แล้วบางคนต้องหัด บางคนไม่ต้องหัด โลกสวยในที่นี้ คือโลกที่สวยงาม ไม่ใช่โลกสวยที่ใครๆ มาใช้กันเพื่อว่าในทางลบ แต่เป็นการชื่นชมเรื่องราว ลายละเอียดที่อยู่รอบๆ ตัว ตั้งแต่ใบไม้ ใบหญ้า ดอกไม้ แมลง เศษขยะ อะไรก็ได้ หรือมองเห็นความสวยงามของพฤติกรรมคน เช่น การมอบของให้กัน ความเอื้ออาทร รอยยิ้ม 

การหัดมองโลกให้สวยงาม เราต้องเชื่อว่าในโลกนี้มีความดีซ่อนอยู่ แฝงอยู่ คงอยู่ในทุกๆ สิ่ง เราเพียงแค่ไปมองเห็นมัน แยกแยะออกจากสิ่งที่มีอยู่ให้รู้ว่ามีความสวยงามอยู่ตรงไหน แล้วเราบอกกับตัวเองว่า เราเห็นความสวยงามนั้นคืออะไร มีความสวยงามจากรายละเอียดอะไรบ้าง แต่ก็จะมีบางครั้งที่เราเห็นว่า มันไม่สวยงามเลย เช่น กองขยะ อุจจาระ เป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์จะมองสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องน่ารังเกียจ เพราะเราให้ความหมายมาตั้งแต่เล็กจนโตว่า กองขยะ อุจจาระเป็นเรื่องไม่ดี น่ารังเกียจ เราต้องอยู่ห่างๆ
ในทางจิตวิทยาแล้ว เราสร้างเงื่อนไขการรังเกียจมาเอง ประกอบกับกลิ่นที่เราไม่ชอบ ที่เราเรียกว่าเหม็น สมองเรายิ่งแปลงความหมายเป็นในทางลบมากขึ้นไปอีก เราจึงรู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้น สมองบอกเราว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องอันตราย ต้องอยู่ห่างๆ โดยทันที วิธีแก้ไข ให้เราเปลี่ยนวิธีการมอง จากใหญ่เป็นเล็ก จากเล็กเป็นใหญ่ เช่น กองขยะ เราเห็นเป็นกองขยะจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ต้องหลีกเลี่ยงให้ห่างๆ แต่ยังมียางคนเห็นกองขยะเป็นเรื่องปากท้อง สามารถหาเงินได้ คนเหล่านี้ จะให้ความหมายของกองขยะเอาไว้อีกแบบ เป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่สร้างความสุขให้กับชีวิต

การเริ่มต้นมองโลกให้สวยงาม เราเริ่มต้นจากการแยกองค์ประกอบของสิ่งที่เรามองเห็น ได้ยิน หรือ ได้รับมา โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่รับรู้ได้ตัวตา หู หรือประสาทสัมผัส และส่วนที่รับรู้ด้วยใจ หรือความรู้สึกของเรา

การรับรู้ทางประสาทสัมผัส เราจะเห็นเป็นรูปทรง สี ลวดลาย และแสงเงา วิธีการมองหาความงามของสิ่งที่มีอยู่คือ การชื่นชมรูปทรงที่เกิดขึ้น ชื่นชมสีที่มีความแตกต่างกัน ลวดลายที่มีอยู่ และแสงและเงา เราเห็นอะไรบ้าง เช่น เราเห็นทรงรีๆ คล้ายแอปเปิ้ล ก็สวยดีนะ เราเห็นสีแดง เรื่อๆ มีการไล่สี และสลับสีกับสีดำ ก็สวยดีน่า เราเห็นลวดลายที่สลับไปมา มีจุดๆ ผสมเป็นระยะๆ ก็สวยดีนะ เห็นอะไรๆ ก็สวยดีนะ บอกในใจเราเสมอๆ มาว่า ก็สวยดีนะ ทำบ่อยๆ เราจะมองเห็นโลกที่สวยงามมากขึ้น

ในด้านที่ 2 คือด้านของอารมณ์ เราสามรถรับรู้ความรู้สึกเรื่องดีๆ อะไรได้บ้าง เช่น เห็นผู้หญิง ผู้ชาย เดินทางเคียงคู่กัน เราก็จะรู้สึกได้ว่า โลกนี้ ยังมีความรักซึ่งกันและกัน ความรู้สึกนี้ สวยดีนะ เราเห็นแม่ดุลูกเสียงดัง สิ่งที่เรารู้สึกได้คือ เราเห็นความห่วงใยของแม่ที่มีต่อลูก เป็นความรักที่สวยงามอยู่เบื้องหลังนั้น ความสวยงามตรงนี้เป็นเเรื่องที่สำคัญของการมีหัวใจผู้ประกอบการ เป็นการซาบซึ้งในความรู้สึกของสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ตลอดเวลา

เรามาลองคุยกับตัวเองดูหละกัน ให้บอกตัวเอง เรื่องนี้มี... เป็นเรื่องดีๆ  เรื่องนี้มีความสวยงามอยู่นะ นี่ไง ฉันเห็นแล้ว......

บอกตัวเองทุกวันๆ ทุกครั้งที่มีโอกาส และยิ้มรับความงดงามให้กับตัวเอง ยิ้มแบบชื่นชม ยิ้งแบบจริงใจ ยินดีด้วย คุณเป็นคนที่มองโลกงดงามแล้ว

โลกที่สวยงามสู่โอกาสของเรา
เมื่อเราเห็นอะไรๆ ก็ดีไปหมด เราเป็นคนที่มองโลกได้งดงามแล้ว สมองของเราจะเปิดรับเรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิต เพราะตลอดเวลา เราจะพบแต่เรื่องดี อะไร อะไร ก็ดี อะไรอะไร ก็งดงาม หลังจากนี้ เราก็ทำให้เกิดความงามอย่างมีคุณค่า เราแค่ตั้งคำถามที่ทรงพลังว่า 

เราสามารถสร้างประโยชน์อะไรได้จากความงดงามนั้น?
เราเรียนรู้อะไร?
ความงดงามนั้น ทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร?

คำถาม 3 คำนี้ จะพาให้ชีวิตเราพุ่งเข้าสู่การได้รับประโยชน์ของความงดงามนั้น ขยายรายละเอียดของความงดงามนั้นเข้าสู่การเป็นโอกาส หรือเป็นช่องทางของการได้ประโยชน์แก่ชีวิตเราเองในอนาคต
เมื่อเราพบโอกาส ให้เราซาบซึ้งในความงดงามของโอกาสนั้น แล้วให้เรามองให้เกิดความงดงามเพิ่มขึ้นอีก จนเรารู้สึกว่า ต้องการสิ่งนั้น ต้องการเดี๋ยวนี้ แล้วบอกตัวเองว่า คว้ามันไว้ อยากปล่อยให้มันหลุดมือไป

ธรรมชาติของโอกาสมีความแปลกอย่างหนึ่งคือ โอกาสจะเป็นประตูสู่ประโชยน์ที่บิดเบี้ยวและเคลื่อนที่ตลอดเวลา บางครั้งก็ใหญ่ บางครั้งก็เล็ก ดังนั้น โอกาสไม่เคยอยู่นิ่ง หรืออยู่คงที่ การเปลี่ยนแปลงของโอกาส เกิดจากสิ่งที่อยู่ในโลกที่เคลื่อนที่ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อองค์ประกอบของโอกาสในแต่ละเรื่องตรงกัน จะแปรสภาพเป็นโอกาสใหม่ๆ ในทันที

การจำลองให้เห็นภาพ ใก้เข้าใจมากขึ้น โอกาสเหมือนกับแผ่นเหล็กกลมๆ ที่มีรูหลายๆ รูแต่ไม่เป็นระเบียบ  หลายๆ แผนมาซ้อนกันอยู่ มีทั้งแผ่นเล็กและแผ่นไหญ่ เอามาเรียงซ้อนกัน แต่ไม่ตรงกัน มีแกนเหล็กเสียบทะลุแผ่นเหล็กทุกแผ่น แต่ไม่ได้เสียบผ่านตรงกลางของแผ่นเหล็กนั้น เมื่อแผ่นเหล็กหมุนรอบแกน จะพบว่า บางครั้งจะมีแสงรอดผ่านแผ่นเห็ลกได้ทุกแผ่นจากการที่รูของแผ่นเหล็กหมุนมาตรงกันพอดี สักพักแสงก็หายเพราะรูนั้นไม่ตรงกัน การเกิดรูตรงกันจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เพราะจังหวะที่รูมาตรงกันจะเปลี่ยนไปตามจังหวะการหมุนของแผ่นเหล็ก

รูต่างๆ ที่มีคือ ความสวยงามของชีวิตที่เราได้เห็นได้พบในทุกๆ วัน โอกาส เหมือนกับแสงที่ลอดผ่านออกมาทุกรูที่ตรงกัน แผ่นเหล็กเหมือนกับองค์ประกอบของโอกาส เป็นเรื่องราวต่างๆ สิ่งแวดล้อมต่างๆ  ที่เปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลาโดยการหมุนไปรอบๆ แกนเหล็กนั้น เมื่อรูมาตรงกัน หมายความว่า องค์ประกอบของความสวยงามตรงกันแล้วจะเกิดเป็นโอกาสของเรา

ในการสังเกตุความสวยงาม เราจะเห็นโอกาสมากหรือน้อยนั้นขึ้นกับว่า เราใส่ใจเรื่องรอบๆ ตัวเราบ่อยแค่ไหน มากแค่ไหน หรือจดจ่ออยู่กับเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าเราใส่ใจเรื่องรอบๆ เหมือนกับเรายืนอยู่ห่างจากแผ่นเหล็ก ทำให้เห็นแผ่นเหล็กได้โดยรอบ แต่ถ้าเราขยับตัวเข้าใกล้แผ่นเหล็กนั้น เราจะเห็นเพียงบางส่วนของแผ่นเหล็ก ทำให้จำนวนรูแห่งความสวยงามที่เราเห็นได้ในมุมของสายตาของเราจะลดลง จะทำให้เห็นโอกาสลดลง แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อเราถอยออกมามากเกินไป เราจะเห็นขนาดของรูแห่งความสวยงามลดลงไปด้วย ทำให้เราเห็นโอกาสได้ยากขึ้นเพราะขนาดของแสงแห่งโอกาสจะน้อยลงตามไปจนความสามรถของสายตาเราไม่อาจมองเห็นได้


ทางที่ดีเราจต้องใส่ใจสิ่งที่อยู่รอบตัวเราในระดับที่เหมาะสม ไม่จ้องมากเกินไป และไม่เพิกเฉยจนเกินไป ทำให้เราสามารถเห็นโอกาสได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นเรื่องราวดีๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตของเรา และสามารถสร้างสิ่งที่สวยงามให้เกิดกับตัวเราเอง อย่างมีความสุข

วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2563

หัวใจผู้ประกอบการฉบับวัยรุ่น ตอนที่ 4


จินตนาการ พลังมหัศจรรย์จากภายใน

จินตานาการ แหล่งการสร้างสรรของมนุษย์จากภายใน ความหมายของจินตนาการทุกคนจะเข้าใจดี แต่การมีจินตนาการอันนี้เป็นทักษะในการสร้างพลังของมนุษย์ให้เกิดความคิดใหม่ สิ่งใหม่ และประโยชน์ใหม่ๆ เสมอ มนุษย์เราเกิดการพัฒนาได้เพราะจินตนาการ บางครั้งเราอาจจะเรียกว่าการมโนที่มีประโยชน์ก็ได้เหมือนกัน และกล่าวกันว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียวชนิดเดียวที่สามารถเอาจินตนาการมาใช้ประโยชน์ได้ จินตนาการจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในการสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับมวลมนุษย์ชาติ

ลองคิดตามนะ เราจินตนาการเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ว่าเราควรจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันยังไง แล้วเราก็เอาเรื่องการจินตนาการเป็นเรื่องสมมติที่เรายึดถือ ทำให้สังคมของเรามีระเบียบ และเราก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เราจินตนาการถึงดวงดาว ทำให้เรามีความทะเยอทะยานที่จะไปดวงดาว ไปดวงจันทร์ จึงเกิดการพัฒนากิจการอวกาศ เราจินจนาการถึงอะตอม ทำให้เราเข้าใจโครงสร้างอะตอมและเรามาใช้ประโยชน์ได้มากมาย

แต่ยังมีหลายคนชอบบ่น ชอบพูดกันว่า จินตนาการไม่ออก คิดไม่ได้ ทำไม่เป็น งั้นเราต้องมาฝึกจินตนาการกัน ให้เป็นความเคยชิน เพราะจินตนาการนั้นเป็นทักษะที่เรียนรู้ได้ จากการพัฒนาสมองข้างขวา ในการทำงานของสมอง จะสลับข้างในการควบคุมร่างกาย และหน้าที่ต่างๆ 

สมองซีกซ้าย มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายซีกขวา และการคิดคำนวนเชิงตัวเลข การคำนวน การคิดวิเคราะห์เชิงเหตุผล การเก็บรายละเอียด 

สำหรับสมองซีกขวา เป็นสมองที่มีหน้าที่ควบคุมร่างกายซีกซ้าย และทำหน้าที่ในการสร้างจินตนาการ ดนตรี ความคิดแปลกใหม่ สังเคราะห์ การเคลื่อนไหวและจังหวะ กรมองภาพรวม การทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กัน 

ในโลกนี้มีคนถนัดขวาประมาณ 85-90% และมีคนถนัดซ้ายอยู่ประมาณ 10-15% แต่กลับมีข้อมูลที่น่าสนใจจากงานวิจัยของ ออสเตรเลียน เนชั่นแนล ยูนิเวอร์ซิตี้ บอกว่า คนที่ถนัดซ้าย ถูกควบควมโดยสมองซีกขวาจะมีความสามารถในการจินตนาการ การทำงานที่มีความสลับซับซ้อน การตีความของข้อมูล ได้เร็วกว่าคนถนัดขวา และสามารถทำงานด้านการจินตนาการได้ดีกว่า คนถนัดซ้าย จะสามารถสร้างภาพ หรือเสียงภายในของตนเองได้ดี หรือสามารถเห็นภาพเชิงซ้อนจากจินตนาการของตนเอง เป็นการแปลความหมายของข้อมูลที่รับเข้ามาได้ดีกว่าคนถนัดขวา

รูปแบบการเกิดจินตนาการของคนถนัดซ้าย คือ สามารถสร้างภาพเสมือนได้แม้ยังลืมตาอยู่ สร้างเสียงคำพูด หรือเสียงต่างๆ จากการอ่านหนังสือได้ หรือ สามารถเห็นภาพความสัมพันธ์ของตัวเลข หรือตัวหนังสือ หรือยิ่งไปกว่านั้น อาจจะเห็นเป็นสีจากการได้ยินเสียงได้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติและไม่สามารถหยุดได้ บางคน สามารถวาดภาพเหตุการณ์ที่ต้องการ หรือวางรูปทรงความสัมพันธ์ที่เกิดจากการอ่านตัวหนังสือได้ทันที หรืออ่านหนังสือทีอยู่ในจินตนการของตนเองได้ เรียกว่า เวลาท่องหนังสือ ท่องเป็นภาพทีละหน้า และไปอ่านหนังสือในจินตนาการของตนเองทีหลังได้ 

คนที่ถนัดเรื่องต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นคนทีมีความสามารถในการจินตนาการ และความคิดสร้างสรรสูงกว่าคนอื่นๆ คนเหล่านี้แค่กำหนดเป้าหมายในการจินตนาการเท่านั้น ก็สามารถสร้างความคิดสร้างสรรออกมาได้ไม่ยาก แต่สำหรับคนถนัดขวา จะต้องฝึกกันเล็กน้อย ฝึกให้เกิดความชำนาญ แล้วจะช่วยให้การสร้างความคิดสร้างสรรจากจินตนาการไม่ใช่เรื่องยาก

เริ่มหัดจินตนาการ

การหัดจินตนาการ ให้เริ่มโดยการกำหนดรูปทรงวัตถุไว้ก่อน เป็นกลม หรือ เหลี่ยมก็ได้ เอาที่ชอบ แต่ถ้าเป็นเหลี่ยม เป็น สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม หรือ ห้าเหลี่ยมก่อน ถ้ามากกว่านี้จะเริ่มยากเกินไป หลังจากนั้น ให้หลับตาลง แล้วสร้างรูปทรงที่ราต้องการขึ้นมา ทำให้ชัดขึ้น ชัดขึ้น ชัดขึ้น หลังจากนั้นให้เริ่มใส่สีลงไป สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีดำ สีขาว สลับกัน ลองทำแบบนี้วนๆ หลายๆ ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 5-10 นาที เป็นระยะเวลานานกว่า 7 วันขึ้นไป จะเริ่มมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงในสมองของเรา เรียกว่าได้ผ่านขั้นที่ 1 มาเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้ายังไม่สามารถจินตนาการได้อย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว ให้เปลี่ยนแปลงจินตนาการเฉพาะรูปร่างอย่างเดียว ส่วนสี ใช้สีอะไรก็ได้ตามที่ชอบ แต่สำหรับใครก็ตามที่ชำนาญขั้นตอนนี้แล้วข้ามไปได้เลย


ลองทำดู


ขั้นตอนที่ 2 จินตนาการเสียง ให้ฝึกโดยการอ่านหนังสือให้เกิดเสียงภายใน เป็นคำพูดต่างๆ ตามหนังสือที่ได้อ่านมา ให้อ่านครั้งละ 45 นาที จริงๆ ก็เป็นผลดีต่อการเป็นผู้ประกอบการด้วย เพราะการอ่านหนังสือเป็นการเพิ่มพูนความรู้ในการสร้างความสำเร็จให้กับตนเอง เมื่อทำจนคล่องแคล่วแล้วให้เปลี่ยนเป็นภาษาต่างประเทศที่เราสามารถอ่านได้ เช่นภาษาอังกฤษ ให้อ่านออกสำเนียงแบบชาวต่างชาติ โดยการเริ่มอ่านออกเสียงก่อน และหลังจากนั้น ให้กลับมาอ่านในใจอีกครั้ง จนได้ยินเสียงชัดเจนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่ออกจากช่องฟัน หรือเสียงที่ก้องจากลำคอก็ตาม เมื่อทำจนชำนาญแล้ว คุณพร้อมแล้วที่จะข้ามไปขั้นที่ 3 ถ้าคุณชำนาญอยู่แล้ว ให้ข้ามไปขั้นที่ 3 ได้เลย

ลองทำดู

ขั้นตอนที่ 3 จินตานาการความรู้สึกและการสัมผัส ให้หลับตาลง แล้วคิดถึงสนามที่ที่อยากจะไปพักผ่อน ให้คิดถึงคนที่เรารักได้ไปด้วยกัน ณ ตอนนั้น เรารู้สึกอะไร มีการสัมผัสกัน ให้เราสร้างเหตุการณ์ในใจของเรากับการสัมผัสต่างๆ ที่เกิดขึ้น ว่ามีการสัมผัสตรงไหนบ้าง รู้สึกอย่างไร แรงค่อย มีสายลมพัดผ่านมาอย่างไรที่มากระทบที่ผิวหนังของเราบ้าง เย็น ร้อน อย่างไร รู้สึกอย่างไรตามแขน ตามขา ตามตัว เกร็ง ผ่อนคลาย อย่างไร และรู้สึกอะไรกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น ฝึกบ่อยๆ 5-7 วันติดกันครั้งละ 3-5 นาที วันละ 10 ครั้ง จนเกิดความชำนาญ แต่อีกเช่นเคย ใครสามารถทำได้แบบนี้แล้ว แปลว่าคุณพร้อมแล้วที่จะจินตนาการเรื่องราวต่างๆ ให้เป็นภาพต่อเนื่อง และใช้พลังของการจินตนาการนั้น เป็นการสร้างภาพความสำเร็จ และการสร้างความคิดสร้างสรรในขั้นตอนต่อๆ ไป

ลองทำดู

ขั้นตอนที่ 4 ขั้นตอนนี้ ให้เอาทักษะทางด้านภาพ เสียงและความรู้สึกมารวมกัน ในตอนต้น ให้เราใช้เพลงเข้ามาช่วยก่อน โดยการเปิดเพลงคลาสสิค หลับตาลง แล้วฟัง ปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกเป็นไปตามเสียงเพลง ปล่อยให้มีภาพเกิดขึ้นว่าเป็นภาพอะไร ความรู้สึกอะไร ปล่อยให้ภาพนั้นพัฒนาเป็นเหตุการณ์เคลื่อนไหว มีผู้คน มีทุ่งหญ้า หรือ มีบ้านเมือง ทำภาพนั้นให้ชัดขึ้น ชัดขึ้น ชัดขึ้น ให้มีเสียงของสิ่งที่อยู่รอบข้างปรากฎขึ้น เสียงของลม เสียงของผู้คน ให้เพลงพาเราไป เพลิดเพลินไปกับเพลงนั้น ทำแบบนี้สัก 2-3 เพลง คุณจะเริ่มมีความชำนาญในการสร้างเรื่องราวแล้ว ยินดีด้วย หลังจากนั้น ให้หรี่เพลงลง ให้เหลือเพียงแต่เพลงเบาๆ แต่ยังคงจินตนาการต่อไป ให้ภาพนั้น ดำเนินไปเอง ตามที่จินตนาการของคุณต้องการ จะเป็นอะไรก็ได้ ตามที่คุณมีความสุข

ลองทำดู


มาถึงตรงนี้ คุณพร้อมแล้วที่จะใช้การจินตนาการในการสร้างความสำเร็จ วิธีการคือ ให้คุณยืนขึ้น เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ยิ้มกว้างๆ รับความสำเร็จ แล้วเริมต้นด้วยการจินตนาการถึงสิ่งต่างๆ ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตคุณ ตั้งแต่ที่ใกล้ที่สุดคือเช้านี้ มีอะไรที่อยู่รอบๆ ตัวคุณบ้าน หมอน ที่นอน ผ้าห่ม เมื่อวานนี้ คุณเจอใครบ้าง คุณพบเหตุการณ์อะไรบ้าง เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คุณไปทำอะไรมา เมื่อเดือนก่อน คุณประทับใจ และมีเหตุการณ์อะไรให้จดจำบ้าง คุณใช้จินตนาการดึงภาพเหล่านั้นออกมาตอนนี้เลย และให้คุณเริ่มกล่าวขอบคุณกับเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่รอบตัว ทั้งเรื่องดีและร้าย ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง และให้เหตุผลในการกล่าวขอบคุณด้วยความทราบซึ้งใจจริงๆ


ขอบคุณหมอน ที่ให้เราได้หลับสบายในคืนที่ผ่านมา
ขอบคุณที่นอน ที่ให้เราได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่
ขอบคุณผ้าห่ม ที่ให้เราได้รับความอบอุ่นตลอดทั้งคืน
ขอบคุณอาหารเช้า ที่ช่วยเราให้มีพลังในการสร้างสิ่งดีๆ ในวันนี้
ขอบคุณคุพ่อ คุณแม่ ที่คอยเลี้ยงดูเราจนเติบใหญ่
ขอบคุณครู อาจารย์ทุกท่าน ที่ค่อยให้ความรู้เราจนเป็นเราได้ในวันนี้
ขอบคุณเพื่อน ที่ทำให้รู้ว่า มิตรภาพสวยงามขนาดไหน
ขอบคุณงาน ที่ทำให้รู้ว่า เรายัมีคุณค่า และยังมีงานทำ
ขอบคุณเหตุการณ์ที่ดีๆ ที่ทำให้รู้ว่า โลกนี้ ยังคงสวยงามขนาดไหน
ขอบคุณเหตุการณ์ที่ไม่ดี ที่ให้ให้รู้ว่า เราสามารถเข็มแข็งได้ขนาดไหน
ขอบคุณธรรมชาติ ทำให้เรารู้ว่า ชีวิตมีความงดงามและยิ่งใหญ่เพียงไหน
ขอบคุณความดี ที่ทำให้เรารู้ว่า เรายังไปคนดีได้มากขึ้นอีกเท่าใด

การกล่าวขอบคุณให้ทำในทุกๆ วัน ทั้งตอนเช้า และก่อนนอน คำว่าขอบคุณเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ ที่ทำให้เรามีกำลังใจในเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเรา เป็นอารมณ์ที่ทำให้เราสามารถดึงพลังจากภายในได้อย่างไม่สิ้นสุด และเพื่อการสร้างความสำเร็จตามเป้าหมายของตัเราเอง เราจึงจำเป็นต้องสร้างพลังให้กับตัวเองเสียก่อน

หลังจากการกล่าวขอบคุณแล้ว ให้สัมผัสหัวใจตัวเองดูว่า เรารู้สึกอย่างไร ตอนนี้แหละเป็นตอนที่เรารับรู้ถึงพลังของชีวิต จิตใจจะมีพลังที่เพิ่มขึ้น ทำให้เราสามารถจินตนาการเรื่องราวต่างๆ ได้แล้ว เราใช้พลังแห่งการขอบคุณนี้ จินตนาการถึงภาพความสำเร็จของเราที่เราต้องการ ในหัวใจแห่งผู้ประกอบการ เราต้องวาดภาพนั้นให้ชัดเจน ทุกรายละเอียกต่างๆ อย่างช้าๆ ปล่อยให้ใจพาเราไปยังบรรยากาศแห่งความสุข ความสำเร็จของเรา ณ จุดที่เราต้องการอยากให้เป็น เรามาลองดูกัน 

ให้เรายืนขึ้น กางขาออกเล็กน้อยในท่าทางที่มั่นคง ท่านี้ทำให้จิตใจเราเข้มแข็งที่สุด จากนั้น หลับตาลง ให้เรานึกถึงภาพของเป้าหมายที่เราอยากได้ (จากตอนที่ 3) ให้ตัวเรา ได้รับเป้าหมายนั้นแล้ว ให้คนที่เราอยากให้อยู่ด้วยในวันที่เราได้รับเป้าหมายนั้นมาอยุู่ในภาพของเรา เมื่อเราได้อยุู่ในเป้าหมายนั้นเราเรียกว่า “ความสำเร็จ” ทำภาพความสำเร็จให้เคลื่อนไหวได้ เป็นภาพแสดงความยินดี ภาพการทักทาย ภาพการสวมกอด ภาพท่ายืนแห่งความภูมิใจของเราและบุคคลรอบข้าง

เมื่อมีภาพเคลื่อนไหวแล้ว ให้เราจินตนาการถึงคำพูดของเรา ที่เราจะพูดกับตัวเอง พูดกับบุคคลรอบข้างในวันที่เราสำเร็จ ให้เราจินตนาการเสียงบรรยากาศรอบๆ ตัวเราเราจะได้ยินเสียงอะไรบ้างในวันที่เราสำเร็จ ให้เราจินตนาการถึง เสียงลม เสียงนก เสียงสายน้ำ หรือเสียงปรบมือที่อยู่รอบๆ ตัวเราในวันที่เราได้รับความสำเร็จนั้น

ให้เราจินตานาการต่อไปว่า ณ เวลาที่เราประสบความสำเร็จแล้ว อากาศจะร้อนจะหนาวอย่างไร ให้จินตนาการของเรา พาเราให้เรารู้สึกถึงความร้อนความหนาวนั้น 

ให้เราจินตนาการว่า เรายังคงอยู่ในภาพความสำเร็จนั้น ให้เราซึมซาบความรู้สึกต่างๆ ความภูมิใจ ความตื้นตันใจ ความดีใจ กับบรรยากาศรอบๆ ตัวเรา ให้เวลาแห่งความสุขจากจินตนาการของเรานั้น ดำเนินต่อไปสักระยะหนึ่งจนรู้สึกว่า พลังของเราเอ่อล้นออกมาจากหัวใจและอยากจะสร้างความสำเร็จนั้นให้เป็นจริงเดี๋ยวนี้ ให้เราจดจำภาพ และรายละเอียดต่างๆ เอาไว้ อย่างดี และให้เราคิดจินตนาการแบบนี้ทุกครั้งที่เรารู้สึกว่า พลังในการไขว่คล้าความสำเร็จ เริ่มที่จะลดลง หรือเหนื่อยล้า พลังจินตนาการจะสามารถสร้างพลังของเราได้

การใช้จินตนาการกับการแก้ปัญหาและการวางแผน

จินตนาการ ยังมีพลังมากมายมากกว่าการวาดภาพความสำเร็จเท่านั้น เรายังใช้จินตานาการในการวางแผนได้อีก เป็นการสร้างภาพเหตุการณ์ในการดำเนินงานของเราที่เราต้องการบรรลุผล ทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ เช่น การแก้ปมเชือก จนถึงการสร้างเครื่องจักรขนาดใหญ่ แม้กระทั้งการสร้างทฤษฎีทางความคิด จินตนาการเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพราะอะไรหรือ เพราะจินตนาการเป็นเรื่องที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น หรือเรียกได้ว่าเป็นอนาคตภาพ หรือการสร้างความจริงแบบเสมือน จึงทำให้เกิดการพัฒนาปรากฎการณ์ตามความต้องการของเราเอง

การแก้ปัญหา แน่นอนต้องเริ่มต้นด้วยปัญหา ปัญหาคืออะไร?

ปัญหาคือส่งที่เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้น ซึ่งปัญหามีอยู่ 2 แบบ คือปัญหาทางกายภาพ หรือปัญหาที่เห็นตัวตน จับต้องได้ เห็นตัวได้ ได้ยินได้ และแบบที่ 2 ปัญหาทางอารมณ์คือรู้ว่ามีปัญหาจากเริ่มต้นด้วยการ รู้สึกได้ แล้วจึงเปลี่ยนแปลงจากความรู้สึกเป็นเหตุผล ของเราต่อไป

ปัญหาทั้ง 2 แบบ ต้องการการจัดการอะไรบางอย่าง เพื่อให้สิ่งที่เราไม่ต้องการนั้น หายไป หรือ กลายเป็นสิ่งที่เราต้องการ ณ จุดนี้ ณ วินาทีนี้ เราเอง ต้องอาศัยจินตนาการ เพื่อเป็นปลายทางที่เราไม่ต้องการไม่ให้เกิดขึ้น และเกิดเฉพาะในสิ่งที่เราต้องการ 

การจินตนาการ นอกจากยังใช้แสดงภาพปลายทางตามที่เรากำหนดแล้ว ยังใช้ในการแสดงเหตุการณ์ระหว่างทางด้วย เพื่อบอกว่า ระหว่างทางเราต้องการให้เกิดอะไรบ้าง โดยปกติแล้ว การจินตนาการภาพระหว่างในการแก้ปัญหานั้น เราเรียกว่าการวางแผน และด้วยพลังจินตนาการนั้น เป็นการสร้างแผนที่แสดงรายละเอียดได้มากกว่าตัวหนังสือที่ถ่ายทอดกันออกมาอยู่ในกระดาษ ซึ่งการบรรยายภาพต่างๆ โดยการใช้ตัวหนังสือ จะต้องใช้ปริมาณหนังสือจำนวนมาก เพื่อเขียนรายละเอียดออกมาจนหมด หลายครั้ง จึงใช้รูปมาแสดงรายละเอียดแทน

การจินตนาการ สามารถใส่รายละเอียดได้มากกว่ารูปที่แสดงออกมาเพราะไม่มีข้อจำกัดทางด้านเนื้อที่ สี แสง เสียง ทุกอย่างไร้ขีดจำกัด ดังนั้น การจินตนาการสามารถสร้างภาพปลายทางการการแก้ปัญหา สร้างรายละเอียดของแผน สร้างอารมณ์ และเกตุการณ์ต่างๆ ของการดำเนินการทุกอย่าง ช่างเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มาก สร้างอะไรก็ได้ที่เราต้องการ ไร้รูปแบบ ไร้ข้อจำกัด กำหนดรายละเอียดได้มากกมาย
เมื่อเราจินตนาการที่อยู่แล้ว ครางนี้ถึงเวลาเอาภาพเหล่านั้นมาเรียร้อยเป็นขึ้นเป็นตอน ซึ่ง เป็นการกำหนดแผนการณ์ของเรานั้นเอง แผนการณืนี้ ใช้ตอบปัญหาของเรา ที่เราต้องการให้เกิดขึ้น และ สิ่งที่เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

ให้เรากลับมาสู่โหมดจินตนาการอีกครั้ง เรามาอยู่กลับตัวเอง หลับตาลง แล้วค่อยๆ ปล่อยความคิดของเรา แบบไม่ต้องเค้น ไม่ต้องบังคับ ให้ใจสนุกไปกับความคิด ภาพ แสง เสียง อามรณ์ที่เกิดขึ้น ปล่อยให้ความคิดของเรา สร้างเหตุการณ์ ภาพ ในแบบที่เราต้องการตั้งแต่นาทีนี้ วินาทีนี้ ให้ภาพนั้นดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ให้เห็นรายละเอียดต่างๆ เห็นผู้คน เห็นที่ทุกอริยาบทของเราเอง ของคนที่อยู่รอบข้าง ปล่อยในเหตุการณ์ดำเนินไป ทีละฉาก ทีละฉาก จนถึงปลายทางที่เราต้องการ


จากนั้น ให้ที่การเรียบเรียงเรื่องลาวที่เราจินตนาการขึ้นมา เป็นแผนการ เป็นรูปแบบการทำงาน เป็นการจดบันทึกความคิดของเรา เพื่อให้สามารถกลับมาตรวจสอบได้ สิ่งที่ตองระมัดระวังในการใช้จินตนาการคือ จินตนาการมาเร็ว เกิดได้ง่าย และผ่านไปเร็ว หากเราไม่มีสติในการรวบรวมความคิด จินตนาการเหล่านั้น จะกลายเป็นฝันกลางวัน และจะหายไป โดยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในที่สุด

💗💗💗💗💗💗💗💗




วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2563

หัวใจผู้ประกอบการฉบับวัยรุ่น ตอนที่ 3


เป้าหมาย สิ่งยั่วยวนและทรงพลัง

เป้าหมาย ใครๆ ก็พูดกัน แล้วเป้าหมายของเราคืออะไร? บอกคนก็ตอบได้ แต่บางคนก็ยังงงๆ อยู่ แต่คำถามที่สำคัญกว่าคำที่ว่า เป้าหมายคืออะไร นั้นคือ เป้าหมายนั้นมีความสำคัญอย่างไรกับชีวิต? เรามาเรียนรู้เกี่ยวกับเป้าหมายกันว่า เราทำอะไรกับเป้าหมายได้บ้าง

เป้าหมายเป็นสิ่งดึงดูดให้มนุษย์มีการสร้างสรรสิ่งต่างๆ ขึ้นมาในโลกใบนี้ มีทั้งเป็นการสร้างที่มีประโยชน์และการทำลายล้าง มีทั้งเป้าหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และประโยชน์ส่วนรวม ว่าๆ กันไปแล้วคือสิ่งที่เราอยากได้ อยากให้เป็น หรืออยากให้มีขึ้นมานั้นเอง มีทั้งเป้าหมายระยะสั้น เป้าหมายระยะที่ยาวขึ้นมาหน่อย เป้าหมายที่ยังไม่ยาวมากนัก เป้าหมายที่ต้องการในระยะเกือบๆ ยาว และเป้าหมายระยะยาว สุดท้ายคือเป้าหมายระยะยาวมากซึ่งอาจจะเกินกว่าชั่วชีวิตของคนคนหนึ่งก็ได้

อะไรทำให้เราต้องมีเป้าหมายในชีวิต? 

การที่คนเรามีเป้าหมาย ได้ประโยชน์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ในการสร้างคุณค่าในตัวเอง ประโยชน์ในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในโลกให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ในการสร้างรายได้และความมั่นคงในชีวิตให้กับตนเอง เป้าหมายเป็นสิ่งหอมหวนที่ทำให้เรารู้ว่า วันนี้ เรายังมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เป็นความรู้สึกที่เราจะมีความภูมิใจในตัวเอง และเราสามารถยืนอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ

ในอีกมุมหนึ่ง วัยรุ่น เป็นช่วงเวลาในการแสวงหาชีวิต การที่วัยรุ่นอย่างเราๆ มีเป้าหมาย เป็นการกำหนดทิศทางให้ตัวเองว่า จะทำอะไรต่อไปกับชีวิตของตัวเอง คนที่มีเป้าหมาย จะมีบุคลิกอย่างหนึ่งคือ มีความกระตือรือร้นในชีวิตต่อการสร้างตัวตนเป็นในสิ่งที่อยากเป็น ต่างกับคนที่ไม่มีเป้าหมาย ชีวิต จะมองหาแต่ความสุขที่เกิดขึ้นรอบตัว และะเปลี่ยนแหล่งของความสุขไปเรื่อยๆ ทำให้เบื่อง่าย ไม่เข้าใจถึงความมกระตือรือร้น

เป้าหมายเป็นตัวบอกว่า “เราคือใคร” คำคำนี้ดูง่ายๆ แต่เราลองมาคิดดูให้ลึกๆ ลงไป จะพบว่า เป็นคำถามที่ตอบยากมาก เพราะเราต้องตอบในรายละเอียดมากกมาย ทั้งเรื่องความต้องการ ความเก่ง ความถนัด เช่น 

--เราคือผู้ให้คำปรึกษาชีวิต โดยการใช้หลักการทางจิตวิทยาและการเป็นผู้ประกอบการในการพาให้ผู้คนบนโลกใบนี้มีความสุข--

การตอบคำถามเราคือใคร จะไม่ตอบเพียงแค่ว่า เราชื่อ บ้านอยู่ไหน มีอาชีพและตำแหน่งอะไร นั้นไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับคุณค่าของเราเลย ทำให้เราไม่รู้ว่า เราอยู่บนโลกนี้เพื่ออะไร มาถึงตรงนี้ อย่าเพิ่งคิดว่า การตั้งเป้าหมายจะต้องตั้งให้เป็นฮีโร่เพื่อเปลี่ยนโลกนะ ใจเย็นๆ การตั้งเป้าเพื่อบว่าเราคือใคร เป็นการบอกว่า เราจะมีความสุขจากการที่ “เป็น” อะไรเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่


รูปแบบการตั้งเป้าหมายที่ทรงพลัง

การตั้งเป้าหมายที่ทรงพลังขั้นที่ 1 เราจะใช้การ “เป็น” แทนการ “มี” เพราะว่า การที่เรา "เป็น" จะหมายถึงว่า เรามีกิจกรรมอะไรบ้าง การ “มี” นั้นคือ ผลของการ “เป็น” เมื่อเรารู้ว่าเราจะ “เป็น” อะไรแล้ว เราจะรู้ต่อทันทีว่า เราจะสามารถหาอะไรเข้ามาในชีวิตให้ “มี” ได้ เช่น เราอยากเป็นนักแต่งเพลง เราจะรู้ว่า เราจะมีผลงานเพลง มีชื่อเสียง มีเงินทองและฐานะทางการเงินที่ดีขึ้น

การเป็นนั้น จะต้องมีความชัดเจนในสิ่งที่อยากเป็น หมายความว่า จะต้องสามารถหลับตา และเห็นรายละเอียดของการเป็นได้ชัด ได้ยินเสียง ได้รู้สึก ได้กลิ่น ในสิ่งที่เราอยากเป็น ทำอย่างไรเหรอ ไม่ยาก เราก็แค่เข้าในจิตนาการของเราสร้างภาพที่เราต้องเป็นขึ้นมา แล้วเอาตัวเองไปอยู่ในนั้น ไปสัมผัส ไปรู้สึก ไปซึมซาบกับบรรยากาศนั้นอย่างเต็มที่ หลักจากนั้น เราเอง ก็จดจำสิ่งนั้นไว้ว่าเป็นอย่างไร หรือจะใช้ตัวช่วยก็ได้ เช่นการวาดภาพสิ่งที่เห็น การเขียนรายละเอียดสิ่งที่เห็น หรือจะอัดเสียงเอาไว้ว่าเราเห็นอะไรบ้าง เพื่อให้วันข้างหน้าจะกลับมาดูเป้าหมายของตัวเองอีกครั้งหนึ่งได้อย่างชัดเจน ไม่บิดเบือนออกไปจากสิ่งที่ต้องการ

ลองเขียนภาพ เสียง ความรู้สึกนั้นลงไปในที่ว่างตรงนี้ดู
………………………………………………………………………………………………………………………........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................

ให้เราตั้งชื่อสิ่งที่เห็นทั้งหมดนี้ เราเป็นใคร ...........................................................

การตั้งเป้าหมายที่ทรงพลังขั้นที่ 2 สร้างเครื่องมือวัดความสำเร็จในการเป็น โดยการ “มี” นั้นหมายความว่า เราต้องบอกตัวเองได้ว่า เราเป็นในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วหรือยัง โดยการมีในสิ่งที่ “เป็น” ควรจะต้องมี เป็นเครื่องมือในการวัดสิ่งที่ต้องการเป็น เช่น อยากเป็นนักร้อง ต้อง “มี” วิธีการร้องที่ดี ต้อง “มี” พลังเสียงที่ตรึงใจผู้คน ต้อง “มี” หูที่ฟังเสียงได้อย่างชัดเจน เรามาดูเป้าหมายยิดฮิตของวัยรุ่นดูบ้าง


วัยรุ่นจำนวนมากมาบอกว่า อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ แล้วเจ้าของธุรกิจจะต้องมีอะไรบ้างหละ???? นั่นสิ!!! ฟังดูง่ายๆ ลองคิดให้ลึกอีกนิดนึง บางคนบอกว่ามาเรียนบริหารธุรกิจเพื่อจบไปแล้วจะเปิดธุรกิจของตัวเอง อันนี้เป็นสูตรสำเร็จหรือไม่ ตอบเลยว่าไม่ใช่แน่แน่ เพราะการเรียนบริหารธุรกิจ เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการเริ่มต้น และการเป็นเจ้าของธุรกิจ อ้าวและจะต้องมีอะไร วิธีการง่ายๆ ในการสร้างเครื่องมือการวัดการเป็นตามขั้นที่ 1 คือ ใส่ความเป็นมืออาชีพ หรือหมายถึง ทำสิ่งนั้นให้สำเร็จได้โดยไม่ต้องมีใครสั่ง 


เริ่มต้นจากการสร้างจินตนาการของตัวเองขึ้นมาก่อนว่า เราจะเป็นอะไรสักอย่าง แล้วเราต้องทำอะไรบ้าง ในการทำแต่ละอย่างนั้น จะต้องมีอะไร ให้จดสิ่งเหล่านั้นไว้ การมีในที่นี้ หมายถึง ความรู้ ทักษะ ความคิด สินทรัพย์ สินค้า และทรัพยากรต่างๆ ที่จำเป็น เช่น เครือข่าย พันธมิตร คู่ค้า ลูกค้า ชื่อเสียง จริยธรรม ฯลฯ ในการทำงานสักอย่าง การมีในที่นี้ จะต้องมองให้กว้างกว่าสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่นการอยากเป็นนักร้อง ไม่ได้มีเพียงแค่มีไมค์ หรือ เครื่องเสียง แต่จะต้องมีคุณสมบัติซึ่งนับว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการเป็นนักร้อง


แบบฝึกหัดการสร้างเครื่องมือ

ให้เราลองจินตนาการว่าเราได้เป็นในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว เราต้องทำงานอะไรบ้างในสิ่งจินตนาการนั้น หลังจากนั้นถามตัวเองว่า จะต้องมีอะไรถึงจะทำงานนั้นได้ หลังจากนั้น ให้กลับมาสู่ปัจจุบัน ว่าเรามีอะไรอยู่ในปัจุบัน แล้เราขาดอะไรเพื่อให้ได้มีในสิ่งนั้น

เมื่อได้แบบนี้แล้ว เราก็จะได้เครื่องมือในการจัดการ เราได้เป็นในสิ่งที่อย่างเป็นแล้วหรือไม่ แต่แน่นอนหละ วัยรุ่นมักจะต้องมีคำถาม แล้วถ้าเกิดอยากจะเป็นคนที่ไม่ต้องทำงานอะไรเลย เรียกว่า เป็นมนุษย์ที่อิสระทางการเงิน ไม่ได้ทำงาน แบบนี้ จะวัดอย่างไร เรื่องนี้ก็ไม่ยาก เพราะการไม่ได้ทำอะไรเลย ก็เป็นการทำงานอย่างหนึ่ง เรียกว่า งานที่ไม่ทำอะไรเลย (งง งง หน่อยเนอะ) เมื่องานของเราคือการไม่ทำอะไรเลย แล้วจะต้องมีอะไร เราถึงทำงานแบบไม่ต้องทำอะไรเลยได้ เพราะเราต้องกิน เราต้องใช้เงิน... แบบนี้พอนึกออกหรือยัง

ถ้ายัง มาดูกันต่อ มนุษย์เรา จะต้องมีการบริโภคอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการบริโภคนั้น จะมาจากการใช้เงินของตัวเองไปแลกมา หรือใช้เงินของคนอื่นไปแลกมาให้ก็ได้ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ เราต้องบริโภค (กิน) อยู่ดี การไม่ทำอะไรเลย ก็ต้องกิน ส่วนใครจะกินมาก กินน้อย ใช้เงินมาก ใช้เงินน้อยก็ขึ้นกับแต่ละคน เอาแบบที่สบายใจ มาลองดูกัน การที่เราจะกิน จะใช้ได้โดยไม่ต้องทำงาน เราต้องมีอะไรบ้าง บางคนต้องมีเงินเป็นสินทรัพย์เอาไว้ใช้ หรือจะต้องเพิ่มการมีผลตอบแทนจากสินทรัพย์นั้นๆ เข้าไปด้วยเพื่อให้เงินที่มีอยู่นั้น งอกเงยขึ้นมาได้ บางคนอาจจะมาแนว สามีหรือนารี อุปถัมป์ มีคู่ครองที่เลี้ยงดูไม่ต้องทำอะไรเลย มีเงินใช้ แล้ว เราต้องมีคุณสมบัติอะไร ถึงจะได้เป็นคนแบบนั้นได้ เอาสิ่งเหล่านั้น ไปใส่ในตารางข้างบน

การตั้งเป้าหมายที่ทรงพลังขั้นที่ 3 เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นอะไร และเรามีอะไรแล้ว ให้มาลองพิจารณาว่า สิ่งที่เรา “เป็น” และ เรา “มี” ทำให้เราได้คุณค่า หรือรู้สึกภูมิใจเรื่องอะไรบ้าง ความภูมิใจนี้ ทำให้เรารู้สึกดีเพราะอะไร เรื่องนี้ วัยรุ่นใจร้อนต้องใช้ความพยายามหน่อย เพราะต้องสำรวจความรู้สึกของตัวเอง ดูแบบสบายๆ ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องด่วยสรุป ให้เวลากับตัวเอง การได้เป็นในสิ่งที่เราอยากเป็นนั้น มีเสน่ห์อย่างไร เพราะความรู้สึกนี้ จะเป็นพลังให้เราอยู่กับสิ่งนั้นตลอดเวลาได้

หรืออาจใช้อีกคำถามในการถามตัวเองได้ว่า ถ้าฉันได้ “เป็น” และ “มี” ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ฉันจะมีความสุขอย่างไร จะเกิดความรู้สึกและความคิดอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง และความรู้สึกและความคิดนั้นเอง สร้างความสุขให้เราได้อย่างไร วัยรุ่นจำนวนมากบอกว่าอยากเป็นคนรวย เพราะคิดว่ามีเงินสามารถซื้ออะไรก็ได้ จริงๆ แล้ว เราอยากเป็นคนรวยเพราะอะไรกันแน่ เพราะจะได้มีเงินใช้เยอะๆ ชีวิตจะได้มั่นคง หรือ มีเงินเยอะๆ เพื่อเอาไว้ให้คนอื่นมาสนใจเราจากการใช้ของหรูๆ หรือ มีเงินเยอะๆ เอาไว้ให้สร้างบรรยากาศโรแมนติกกับคนที่เรารัก มีเงินเเยอะๆ เอาไว้เพื่ออะไรกันแน่.... หาคำตอบที่อยู่เบื้องหลัง

เรื่องสิ่งที่เย้ายวน เรื่องนี้ วัยรุ่นจำนวนมาก มักจะให้คำตอบเป็นเงิน แต่จริงๆ แล้ว เงินเป็นเพียงสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้ในเรื่องอื่นๆ ที่ตัวเองต้องการ เช่น ใช้เงินซื้ออาหารดีๆ เพราะต้องการให้ร่างกายได้รับอาหารที่อร่อย มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการ นั่นหมายความว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้ต้องการเงิน แต่เราต้องการอาหารดีๆ เพียงแต่ เงินสามารถแปลงเป็นสิ่งที่เราต้องการได้หลายอย่าง ดังนั้น เราจึงคิดว่า เรามีเงิน เราจะมีความมั่นคงเพราะเราหาสิ่งที่เราต้องการได้จากเงิน เราได้ความหลายหลาย เพราะเงินสามารถเปลงเป็นอะไรก็ได้ที่ขายอยู่ในโลกใบนี้ เงินเป็นความรัก เพราะเรามีเงิน เราสามารถส่งต่อความรู้สึกดี ผ่านการใช้เงินได้ เราได้ความสำคัญ เพราะใครๆ ก็อยากได้เงิน จึงเข้ามาหาเราเพราะเรามีเงิน เราได้การเติบโต เงินสามารถต่อยอดตัวเองให้ขึ้นไปหรือมีมากขึ้นได้  เงินจึงกลายเป็นตัวแทนของความอยากเป็นที่หลายๆ คนเข้าใจผิด

การตั้งเป้าหมายที่ทรงพลังขั้นที่ 4 สิ่งที่อยาก “เป็น” แสดงความเป็นตัวเราได้อย่างไร? เป้าหมายที่ดีจะต้องเป็นการเสริมสร้างสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราให้โดดเด่นออกมา ชีวิตคนเราเหมือนกับการเล่นดนตรีเป็นวง ต้องอาศัยเครื่องดนตรีหลายชิ้น มีวังหงะและรูปแบบการเล่นของตนเอง แม้บางครั้งจะเล่นเพลงเดียวกัน แต่วิธีการเล่น ก็ไม่เหมือนกัน การตั้งเป้าหมาย เหมือนกับการเล่นเพลงที่เราต้องการให้จบสมบูรณ์แบบเครื่องดนตรีทุกชิ้น ต้องเล่นเป็นจังหวะที่สอดคล้องเป็นท่วงทำนองเดียวกัน หากเป้าหมายนั้น ไม่สอดคล้องกับเครื่องดนตรีที่เล่น หรือเพลงที่เล่น ไม่เหมาะกับเครื่องดนตรี เพลงนั้นก็ไม่มีความไพเราะอย่างสมบูรณ์แบบ 

วัยรุ่น เปรียบเสมือนวงดนตรีที่กำลังหัด กำลังหาเพลงที่เป็นตัวเอง เป็นวงที่ยังต้องจัดหาเครื่องดนตรีใหม่ๆ เข้ามาในวงเพื่อให้สามารถเพิ่มความไพเราะ เกิดความสมบูรณ์แบบ เป็นช่วงเวลาที่ต้องฝึกฝนเทคนิคการเล่นดนตรีจากเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ เหมือนกับการเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ในการเป็นตัวเราในอนาคต เสริมสร้างความรู้และทักษะในการดำรงชีวิต ดังนั้น เป้าหมายจะต้องเป็นตัวเรา เป็นในสิ่งที่เราเป็นเราในธรรมชาติ เราชอบอิสระ แต่เป้าหมายไปตั้งไว้เป็นคนที่ทำงานอยู่ในระเบียบ ไม่นานเป้าหมายนี้จะเป็น “เป้าหาย” เพราะไม่ใช่ตัวเอง เป้าหมายจะต้องสอดคล้องกับความสามารถในตัวของเรา เพราะจะช่วยให้เราเข้าถึงเป้าหมายได้ง่ายมายิ่งขึ้นใช้พลังงานน้อยลงในการเข้าสู่เป้าหมาย

วัยรุ่นหลายคนพอมาถึงตรงนี้ อาจจะยังสับสน เพราะที่ผ่านมายับไม่เคยสำรวจตัวเองว่า จริงๆ แล้วมีอะไรที่ซ้อนอยู่ในตัวเองบ้าง วิธีการง่ายๆ ไม่ยาก กลับมาถามตัวเองว่า เราทำอะไรได้เก่ง และ ทำไมเราถึงทำเก่งได้ในเรื่องนั้นๆ แล้วเขียนลงมาดูว่า เเรามีอะไรดีบ้าง เช่นเราเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนอื่นเรื่องประวัติศาสตร์  แล้วให้ตีความหมายขอความเก่งนั้น ซึ่งจะหมายถึง จดจำเรื่องราวได้ดี และสามารถเรียงร้อยเรื่องราวตามเวลาได้เก่ง จึงทำให้เรียนประวัติศาสตร์ได้ดี ทีนี้เราลองมาเขียนกันดูนะ ว่าเราเก่งอะไรได้บ้าง จะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ได้หมด เรื่องเล็กๆ เช่น มองเห็นรายละเอียดต่างๆ ได้ดีกว่าคนอื่น ใช้สีหรือผสมสีของเครื่องแต่งกายได้ดีกว่าคนอื่น ส่วนเรื่องใหญ่ๆ เช่น มีความสามารถคำนวนได้ดีกว่าคนอื่น มีความสามารถในการพูดและใช้คำได้ดีกว่าคนอื่น เป็นต้น

แบบฝึกหัด การหาความเก่งภายในตัวเอง


จากนั้น ให้เราเอาความหมายของความเก่ง มาเทียบกับสิ่งที่เราอยาก “เป็น” ดูอีกครั้งว่า ไปทางเดียวกันหรือไม่ ถ้าไม่ ก็ปรับ ในการปรับก็ทำได้ 2 วิธีคือ ปรับเป้าหมาย หรือปรับความเก่ง เราจะต้องเก่งอะไรเพิ่มเติม

การตั้งเป้าหมายที่ทรงพลังขั้นที่ 5 กำหนดเวลาในการบรรลุเป้าหมาย เรื่องเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมนุษย์ จะมีสมองอันชาญฉลาด สมองเราจะฉลาดมากในเรื่องของการเอาตัวรอดและการประหยัดพลังงานให้กับตัวเองเพื่อความอยู่รอด ดังนั้น สมองแห่งการเอาตัวรอด จะบอกว่า งานต่างๆ ถ้ายังไม่ถึงเวลา เราไม่ต้องทำ ประหยัดพลังงานเอาไว้ก่อน จึงเป็นที่มาของการผลัดวันประกันพรุ่ง

การกำหนดระยะเวลาแห่งความสำเร็จ จะเป็นการบอกสมองว่า หมดเวลาขี้เกียจแล้ว ต้องลุกขึ้นมาทำ เรากำลังจะเดือนร้อนแล้ว ยิ่งความหลงไหลในการตั้งเป้าหมายยิ่งแรงเท่าไหร่ สมองจะตื่นตัวมากเท่านั้น การทำแบบนี้ สมองจะตีความหมายว่า อันตรายนะ เราต้องทำอะไรบางอย่าง ร่างกายต้องทำงานแล้ว อยู่กับที่ไม่ได้แล้ว

การตั้งระยะเวลาแห่งความสำเร็จนั้น เราตั้งได้  2 รูปแบบ แบบแรก คือตั้งเป็นเงื่อนไขเล็กๆ เรื่องเส้นเวลาเอาไว้ บอกว่า ตอนไหนต้องบรรลุ หรือ เป็น หรือ มี อะไรบ้าง ตั้งขึ้นมาเป็นเป้าหมายย่อยๆ เมื่อบรรลุเป้าหมายย่อยๆ แล้ว เราก็ฉลองเป้าหมายย่อยๆ นั้น

แบบที่ 2 คือตั้งเป้าหมายใหญ่เป้าหมายเดียว โดยไม่สนใจเป้ามายเล็กๆ แบบนี้ ทำได้สำหรับคนที่มีวินัยสูงส่ง เพราะจะต้องเทียบเวลาตามเป้าหมาย และมีแผนในการสร้างความจริงตามเป้าหมายอย่างชัดเจน มิฉะนั้น แล้ว ระยะเวลามีโอกาสคลาดเคลื่อนสูง ยิ่งระยะเลาที่ตั้งเป้าเอาไว้ยาว ยิ่งทำให้เพี้ยนจากความเป็นจริงได้ง่ายมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย


สรุป การตั้งเป้าหมาย มีขั้นตอนอยู่ 5 ขั้นตอน คือ หาสิ่งที่อยากเป็น กำหนดสิ่งที่ต้องมี สร้างแรงดึงดูดของเป้าหมาย เล่นให้เป็นวง และเขียนเส้นเวลา การตั้งเป้าหมายแบบนี้เรียกว่า SMART Goal เป็นเทคนิคที่ใช้ได้ทั้งการตั้งเป้าหมายส่วนตัวของชีวิต และการตั้งเป้าหมายทางธุรกิจ โดยเฉพาะการตั้งเป้าหมายทางธุรกิจ ที่ต้องใช้คนหลายๆ คนมาทำงานร่วมกัน จำเป็นต้องให้เกิดความชัดเจนร่วมกัน เพื่อเดินหน้าไปในทางเดียวกัน