แนวโน้มของการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คือ มีจำนวนคนเข้าเรียนน้อยลง ในขณะที่จำนวนของมหาวิทยาลัยคงเท่าเดิม มีที่นั่งมากขึ้น และมีเหตุการณ์แย่งผู้สมัครเข้าเรียนมากขึ้น หากจะเรียกว่าเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาก็เป็นได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม เมื่อตลาดงานกลับบอกว่า มหาวิทยาลันยผลิตบัณฑิตมาไม่ตรงต่อความต้องการ จบมาแล้วเอามาใช้งานจริงไม่ได้ ต้องทำการฝึกงานต่ออีก 6 เดือน ถึงสามารถเอามาทำงานได้ และไม่แน่ใจด้วยว่า การฝึกงานที่สถานประกอบการด้วยการจ้างเด็กจบใหม่เข้าไปทำงานแล้วเขาจะอยู่กับสถานประกอบการในระยะยาวหรือไม่ ทำให้หลายๆ ไม่อยากรับบัณฑิตจบใหม่เข้ามาทำงาน เพราะอัตราการลาออกสูงจนเป็นคำพูดว่า เด็กจบใหม่ทำงานไม่ทน ฝึกได้พอเป็น ก็ไปทำงานที่อื่น ไม่คุ้มกับการจ้างงาน
ในขณะเดียวกัน กลับเริ่มมีปรากฎการณ์ที่เรียกว่า ไม่มีปริญญาหาหางานทำได้ มีรายได้ตั้งแต่เรียนหนังสือ ขอให้เก่งอะไรสักอย่าง ไม่ต้องไปสนใจว่าจะเรียนมาแบบไหน จบอะไรมา ขอแค่ชัดเจนว่าทำอะไรเป็น ทำอะไรเก่ง และเป็นที่ต้องการของสังคม ก็สามารถหาเงินได้ มีคนจำนวนมากมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นยูทูบเบอร์ อัดวีดีโอออกอากาศด้วยตัวเอง หลายคนบอกว่า ต้องเขียนแอพดีๆ ก็สามารถหาเงินได้ มหาวิทยาลัยไม่จำเป็นต้องไปเรียนอีกต่อไป
ในความเป็นจริงนั้น เป็นจริงส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
ระบบการศึกษาตามระบบการให้ปริญญานั้น จำเป็นต้องมีการปรับตัว เพราะบางหลักสูตรไม่สามารถหางานได้ในสังคมปัจจุบัน แต่ไม่ได้หมายคามว่า วิชานั้นๆ จะไม่มีคุณค่าต่อโลกอีกต่อไป กลับกลายเป็นว่า คนในยุคใหม่ ต้องมีความรู้ความสามารถอยู่รอบด้าน และมีความโดดเด่นอย่างน้อย 1 ด้าน ต่างหาก การเรียนในมหาวิทยาลัยไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการเรียน แต่กลับเปลี่ยนแปลงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนที่ต้องส่งเสริมให้คนเกิดการเรียนรู้และเข้าใจวิธีการหาความรู้ใส่ตัวเอง จนไปถึงวิธีการสร้างความรู้ให้กับตัวเองและกับสังคม
มหาวิทยาลัยในบทบาทใหม่ ไม่ใช่แต่เพียงผลิตบัณฑิตเข้าสู่ตลาดงานที่มีคุณภาพ แต่ต้องเป็นผู้ที่ผลิตผู้ใฝ่รู้และกระตือรือร้นในการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา เป็นผู้ที่มีความยืดหยุ่นในการปรับตัวต่อสถานการณ์ และยังสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์ที่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้อย่างเป็นระบบ
มหาวิทยาลัยต้องมีบทบาทในการสร้างความรู้ใหม่ๆ ที่คนในสังคมเข้าถึงได้โดยง่าย เป็นรูปแบบที่สร้างประโยชน์ให้กับสังคม มากกว่างานวิจัยที่เน้นการตีพิมพ์ และเป็นแหล่งที่ถ่ายทอดความรู้เข้ากับสังคม
ในการถ่ายทอดความรู้เข้ากับสังคมนั้น หมายถึงใครก็ได้มีสิทธิที่จะเรียนในสถาบันของมหาวิทยาลัย วิชาอะไรก็ได้ และหัวข้อไหนก็ได้ มหาวิทยาลัยต้องมีการเปิดกว้างมาเพียงพอในการส่งเสริมการยกระดับความรู้ให้กับทุกคนในสังคม ดังนั้น มหาวิทยาลัยจึงไม่ใช่สถาบันการศึกษาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่กลับต้องเป็น สถาบันแห่งการเรียนรู้ที่มีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง มีคุณค่า และเข้าถึงได้ง่ายของคนในสังคม
มหาวิทยาลัย จึงมีความหมายที่ยิ่งใหญ่มากกว่าการเรียนการสอน และการวิจัย แต่เป็นแหล่งที่ความรู้ทั้งมวลจะต้องเข้ามารวมอยู่ในที่แห่งเดียวกันนี้ เพื่อให้โลกเกิดการพัฒนา มหาวิทยาลัย ไม่ควรปล่อยให้แหล่งความรู้ที่อื่น มีบทบาทในการสร้างความรู้แบบที่ไม่ได้ถูกกลั่นกรองด้วยกระบวนการ หรือมโนทรรศที่น่าเชื่อถือ การที่สังคมเกิดเหตุการณ์เยาวชนรุ่นใหม่ ไม่เชื่อถือระบบในมหาวิทยาลัย และไปแสวงหาความรู้จากแหล่งอื่นๆ จนเกิดความเชื่อว่า ไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยก็ได้ เพราะคนสมัยนี้ หาเงินได้โดยไม่ต้องจบมหาวิทยาลัย นั่นเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างมากในการพัฒนาประเทศและการพัฒนาความสามารถของคนในประเทศ
การที่คนออกไปศึกษาเองจากข้างนอกนั้น เป็นเรื่องที่ดี เพราะเกิดจากความใฝ่รู้ของคน แต่มีไม่กี่ที่ทำได้ เพราะต้องอาศัยความตั้งใจจริง แต่จะมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายแห่งการเรียนรู้ได้ เพราะเกิดการศึกษาแบบที่ไม่เป็นระบบ หรือแบบแผนของการศึกษา ขาดผู้ชี้แนะที่ถูกต้อง ในท้ายที่สุด จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เกิดการพัฒนาที่ผิดๆ มากกว่า ขณะเดียวกัน การศึกษายังช่วยส่งเสริมที่การวิจัยในทางเทคนิคขั้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางวิทยาศาสตร์ วิทยาการ และการทดลอง เนื่องจากการที่บุคคลทั่วไปจะสามารถทำการทดลองขั้นสูงได้ ต้องมีทุนส่วนตัวจำนวนมากเพื่อสร้างห้องทดลองเพื่อการศึกษา นั่นคือข้อได้เปรียบของมหาวิทยาลัย ที่มีทุนทางการสร้างองค์ความรู้อยู่เป็นจำนวนมาก
มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง ตั้งแต่ระบบ ไปถึงอาจารย์ เปลี่ยนแปลงบทบามการเรียนการสอน การได้อันดับโลก ไปสู่การสร้างคุณค่าแห่งการพัฒนาประเทศ เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน เปลี่ยนแปลงวิธีการถ่ายทอดความรู้ เปลี่ยนแปลงทักษะที่จำเป็นของบุคลากรในมหาวิทยาลัย และเปลี่ยนแปลงผลผลิตของมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยไม่ได้ผลิตหลักสูตร แต่มหาวิทยาลัย เป้นผู้ผลิตความรู้ที่สังคมไม่สามารถผลิตได้ เป็นความรู้ที่มีประโยชน์และบริสุทธิ์
เมื่อมหาวิทยาลัยต้องนิยามตัวเองที่เปลี่ยนแปลงไป ใน New Normal
-
หลังจากการเลือกตั้งของประเทศไทยปี 2566 ผ่านพ้นไป ได้เห็นคะแนนกันไปแล้ว ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของผู้ที่เกี่ยวข้องไปจัด...
-
EP39 #สร้างทีมงานให้เป็นผู้ประกอบการ ปัญหาปวดหัวที่สุดของการสร้างทีมงานคือการสร้างความภักดีในองค์กร เป็นที่รู้กันว่า เมื่อพนักงานไม่มีความภ...
-
#ปัญหาว่าด้วยการแก้ไขสถานการณ์วิกฤติ ช่วงนี้ประเทศไทยได้เจอกับสถานการณ์วิกฤตหรือที่เราจะเรียกว่าอุบัติเหตุการอยู่บ่อยครั้ง อย่างที่เห็นได้ชั...