วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เมื่อ โควิด-19 ทำให้รู้ว่า GDP ไม่ได้วัดความมั่งคั่งได้อีกต่อไป

 เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกต่างหยุดชะงักทั้งทางด้านการเดินทาง กิจกรรมต่างๆ และสภาวะเศรษฐกิจ สาเหตุหลักๆ คือ มนุษญ์ไม่สามารถเดินทาง และมาพบปะกันได้ การเกิดกิจกรรมทางกายภาพจึงต้องหยุดไปอย่างทันที ธุรกิจจำนวนมากที่ไม่สามารถปรับตัว ปรับเปลี่ยนได้ ก็ประสบปัญหาทางธุรกิจ

.

หากมาคิดให้ลึกลงไปการเกิดปัญหาสภาวะเศรษฐกิจนั้นคือ การที่คน ธุรกิจ และประเทศมีปริมาณเงินหมุนเวียนน้อยลง หรือบางแห่งอาจะถึงขั้นไม่มีเลย เพราะไม่สามารถมีธุรกรรมแลกเปลี่ยนในทางเศรษฐกิจที่เอาเงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้

.

การปรับตัวของประเทศ ที่ไม่ได้มีพื้นฐานทางการเกษตร ก็กลับมาเน้นการบริโภคภายในประเทศ หรือเรียกให้เข้าใจได้ง่ายกว่านั้นคือ การผลิตเองใช้เองภายในประเทศ การสร้างบริการเองในประเทศ และการท่องเที่ยวในประเทศ จะสังเกตุได้ว่า ประเทศที่มีฐานการผลิตในประเทศที่แข็งแกร่ง ที่สามารถผลิตสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อสนองความต้องการของประชาชนในประเทศได้มากเท่าใด ประเทศเหล่านั้น ได้รับผลกระทบไม่หนักเท่ากับประเทศที่ต้องอาศัยการส่งออกเป็นหลัก หรือ การท่องเที่ยวแต่เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะประเทศที่มีการท่องเที่ยวในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับรายได้ของประเทศ (ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาติ : GDP)

.

ความเปราะบางหรือความสามารถในการทนรับกับวิกฤติของประเทศได้คือ ประเทศสามารถเลี้ยงตัวเอง และมีความมั่นคงทางอาหารขนาดไหน หรือจำเป็นต้องพึ่งพาการเคลื่อนไหวของเงินและผู้คนจากต่างประเทศเป็นหลัก หากพิจารณาง่ายๆ คือ เมื่อประเทศต้องปิดประเทศลงแล้ว ประชาชนอดอยากขนาดไหน อาหารที่สามารถนำมาหล่อเลี้ยงประชาชนนั้น เพียงพอขนาดไหน กลุ่มประเทศที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจภายในเช่น จีน เยอรมัน เป็นต้น เพราะเป็นประเทศที่ที่มีทั้งอุตสาหกรรม การเกษตร และสามารถพึ่งพาตัวเองได้แม้ว่าไม่สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ ส่วนประเทศที่มีความเปราะบางมาก อย่างเช่น มัลดีฟส์ ที่รายได้ส่วนใหญ่ เป็นรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และมีการเกษตรในขนาดที่เล็กมาก จนต้องนำเข้าอาหารส่วนใหญ่มาจากอินเดีย และบังคลาเทศ

.

ในอีกกลุ่มประเทศที่มีพื้นฐานของประชากรส่วนใหญ่อยู่ภาคการเกษตร กลุ่มประเทศเหล่านี้ ก็มีการปรับลดลงของ GDP เช่นเดียวกัน เพราะยังคงมีบางส่วนที่อาศัยการแลกเปลี่ยนสินค้าโดยการใช้ตัวเงินเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยน แต่ประเทศเหล่านี้ กลับมีความมั่นคงทางอาหาร เพราะสามารถผลิตอาหารเองได้ กลุ่มประเทศเหล่านี้ แม้ว่าประชาชนอาจจะไม่มีใช้สินค้าบางประเทศ แต่ก็ยังมีกิน เพราะสามารถผลิตอาหารที่มีความหลากหลายได้ในประเทศของตัวเอง อย่างประเทศ CLMV หรือประเทศที่มีระบบค่อนข้างปิดตัวเองอยู่แล้ว อย่างเช่น ภูฏาน (Bhutan) เป็นประเทศที่ไม่ได้พึ่งพา GDP เป็นเครื่องมือชี้วัดหลักในการพัฒนาประเทศ แต่กลับใช้ GHP เป็นดัชนี้ชี้วัดการพัฒนาประเทศ

.

นอกจากการปรับตัวของภาคธุรกิจแล้ว ยังมีการปรับตัวเพื่อการเอาตัวรอดของผู้คนคือการประหยัดและทำการผลิตสินค้าต่างๆ เพื่อการบริโภคด้วยตัวเองมากขึ้น เหตุการณ์แบบนี้เรียกว่า Procumer ผลิตเพื่อการบริโภค มาจากคำว่า Produce และ Consumer เช่น การปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เพื่อการบริโภคในครัวเรือน เป็นการลดค่าใช้จ่าย หรือการ ลงมือซ่อมบ้าน สร้างเครื่องใช้ในบ้านด้วยตัวเอง การทำอาหารเอง อย่างเช่นที่ผ่านมา ในประเทศไทย หม้อทอดไร้น้ำมัน ขายดีมาก เพราะทุกคนหันมาทำอาหารเองที่บ้าน

.

ผลกระทบของ Procumer ที่มีต่อระบบเศณษฐกิจ คือ การลดลงของ GDP เนื่องจากประชาชนมีการบริโภคโดยไม่ได้ใช้เงินเป็นสื่อกลางมากขึ้น แต่กลับมีการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่ง เพราะประชาชนสามารถบริโภคได้มากขึ้นเพราะไม่ต้องใช้เงิน นั่นหมายความว่า จะเกิดความย้อนแย้งของระบบเศรษฐกิจ 2 ระบบในสังคมเดียวกัน โดยเฉพาะในประเทศที่อาศัยระบบการวัดความมั่งคั่งด้วย GDP เป็นหลัก ความย้อนแย้งนี้จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในะระบบการเงิน และสถาบันการเงิน เพราะเป็นหน่วยงานที่เป็นตัวกลางของการแลกเปลี่ยนด้วยเงิน และ กระตุ้นการเติบโตด้วยการเพิ่มปริมาณการหมุนเวียนของเงิน (หากใครสงสัยให้กลับไปดูเรื่องการเพิ่มปริมาณจากการปล่อยสินเชื่อในวิชาเศรษฐศาสตร์มหาภาค)

.

ความท้าทายของการดูแลระบบเศรษฐกิจในยุคหลังจากนี้ไป ผู้คนเริ่มมีแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงไปจากการพึ่งพาการเงิน เพียงอย่างเดียว ไปสู่การเข้าสู่ภาคการผลิตในครัวเรือนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การออกแบบความสามารถและทักษะของคนในประเทศ ถึงเวลาแล้วที่ต้องออกแบบให้สามารถทำได้หลายอย่างในคนคนเดียว และมีอย่างน้อย 1 อย่างที่เก่งกว่าคนอื่น หมายความว่า ระบบการศึกษาต้องมีการออกแบบใหม่ โดยการให้การศึกษาในระบบ เป็นการสร้างความสามารถที่รอบด้าน และเสริด้วยการศึกษานอกระบบที่ให้เกิดความสามารถที่โดดเด่นมายิ่งขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงการผลิต จากการมุ่งเน้นการผลิตแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด ไปสู่การผลิตหลายอย่าง และสร้างการประหยัดในการผลิตจากประสิทธิภาพแม้ว่าจะมีการผลิตแต่เพียงน้อยชิ้นก็ตาม

.

ทิศทางขององค์กรธุรกิจ จะมีขนาดเล็กลง มีความเป็นอิสระสูงขึ้น และมีการรวมตัวในรูปแบบของพันธมิตรมากกว่า การจัดตั้งเป็นองค์กรเดียวมากขึ้น เพราะทุกคน จะผันตัวมาเป็นหน่วยการผลิตมากขึ้น ส่วนเรื่องการแลกเปลี่ยนนั้น มีแนวโน้มในการแลกเปลี่ยนด้วยตัวสินค้า เทคโนโลยี และแรงงานโดยตรงมากขึ้น มากกว่า แลกเปลี่ยนด้วยสินค้า ผู้คนจะเริ่มวัดมูลค่าของสิ่งที่มาแลกเปลี่ยนน้อยลง แต่กลับมีคำว่าช่วยๆ กันมากขึ้น เช่น การทำงานเพื่อแลกกับเครือข่ายทางธุรกิจ การทำงานเพื่อแลกกับการประชาสัมพันธ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถวัดมูลค่าได้ และที่สำคัญ ต้นทุนของผู้ให้ กับมูลค่าของผู้รับ ไม่เท่ากัน

.

ระบบการวัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่อาจวัดได้ด้วย GDP แต่เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป สังคมกลับมีมิติของความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทรัพย์สินที่มีตัวตนจะน้อยลง ไปเป็นการแฝงเอาไว้กับทรัพย์สินชนิดอื่นๆ มากยิ่งขึ้น เช่น สำนักงานจะมีน้อยลง กลับไปใช้ร่วมกับ พื้นที่ในบ้าน ร้านกาแฟ หรือ ห้องสำนักงานให้เช่าชั่วคราวรายชั่วโมง มากขึ้น ดังนั้น มิติการวัดของการเติบโตทางเศรษฐกิจ คงตั้งวัดที่ตัวความมั่งคั่งที่แท้จริงดังต่อไปนี้มากกว่า GDP

1. มูลค่าทรัพย์สินรวมรวมสุทธิภาคประชาชน หรือ ปริมาณเงินของภาคประชาชนหักด้วย หนี้ภาคประชาชน

2. มุลค่าทรัพย์สินรวมสุทธิภาคธุรกิจ หรือ ปริมาณทรัพย์สินของภาคธุรกิจหักด้วยหนี้ภาคธุรกิจ

3. ปริมาณพลังงานสุทธิในการบริโภค หรือ จำนวนพลังงานเฉลี่ยต่อคนต่อวันในการรับเข้าร่างกาย เทียบกับปริมาณพลังงานที่ต้องใช้ไปในแต่ละวัน ไม่รวมการออกกำลังกายเพื่อการลดน้ำหนัก

4. มูลค่าปัจจุบันสุทธิในการศึกษา หรือ ความสามารถในการหาคุณค่าในชีวิตเมื่อเทียบกับการลงทุนเพื่อการศึกษาและการพัฒนาตัวเอง

ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นการประเมินร่วมกับ GDP ของประเทศ เป็นการวัดความมั่งคั่งของมนุษย์ในอีกมุมมองที่มีความลุ่มลึกมากยิ่งขึ้น

.

นอกจากนั้น การออกแบบระบบการผลิตในประเทศ ของแต่ละประเทศ ต้องสร้างให้มีการกระจายตัวอย่างสมดุล โดยมีบางอุตสาหกรรมเป็นแกนหลักในการค้ำจุนระบบเศรษฐกิจ ที่มีความเข้มแข็ง ไม่พึ่งพาภาคอุตสาหกรรมใดใด มากจนเกินไปอีก เช่น เรื่องของการท่องเที่ยว ก็ควรต้องมีการกระจายความเสี่ยงของกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีการเชื่อมโยงกับภาคอื่นที่เป็นแกนหลักของท้องถิ่น

.

หรือการพัฒนาภาคการเกษตร หากแก้ปัญหาเฉพาะด้านราคา ก็จะกลายเป็นปัญหาที่วนเวียนกลับมาในอนาคตอีก เพราะราคานั้น ขึ้นลงตามสภาพของตลาด หรือเจ้าตลาด ดังนั้น การสร้างระบบการเกษตรที่มีความเข้มแข็งก็เป็นการลดต้นทุนการผลิต และความคุ้มค่าของการผลิตต่อแรงงานด้านการเกาตร 1 คน นั้นหมายความว่า การเพิ่มความมั่งคั่งของเกาตร 1 รายกลับเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า การพยุงราคาผลผลิตเกษตร

.

นี่คือโจทย์ที่รัฐบาลทุกประเทศต้องขบคิด หากมากดีดีในอีกมุมหนึ่ง พบว่า นี่คือ Disruption ของภาครัฐที่จะอยู่ในตำแหน่ง หรือจะไป อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ไม่ได้มาจากแต่เศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว


ดร.นารา กิตติเมธีกุล

พูดคุยกับผู้เขียนได้ที่
Facebook Page Dr.Nara Kittimetheekul
https://www.facebook.com/DrNaraKittimetheekul

รับให้คำปรึกษา ด้านการพัฒนาตนเอง การพัฒนามนุษย์ การออกแบบระบบการทำงาน
การวิจัยการตลาด การปรับ Mindset เพื่อความสุขและความสำเร็จ