มองบวก พลังแบบบวกบวก
การคิดบวก มองโลกแง่บวก เป็นคนบวกๆ ฟังดูง่าย แต่ยังมีคนจำนวนมากที่ทำไม่ได้ หรือทำได้แล้ว ก็ไม่ตลอดเวลา เรื่องการมองบวก เป็นเรื่องของทักษะที่ต้องการการฝึกฝน ในเกิดความชำนาญ และสามารถนำมาใช้งานได้อย่างเป็นอัตโนมัติ
การคิดบวก คือ วิธีการแปลความมหมายของคนในแต่ละสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้ประโยชน์ พูดอีกแง่หนึ่งคือ การคิดบวกเป็นวิธีการเลือกใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์เพื่อนำมาด้วยความสร้างสรรค์และอารมณ์ที่ดี
การคิดบวก ไม่ใช่ โลกสวย โลกสวย คำนี้ในภาษาอังกฤษตรงกับคำว่า Little World ให้ความหมายได้ชัดคือ เป็นโลกใบเล็กที่ไม่สนใจเรื่องอื่นๆ ใดๆ สนใจเฉพาะเรื่องที่ตนเองต้องการเท่านั้น แต่ คิดบวก ในภาษาอังกฤษ มี 2 คำ คือ Positive Thinking หมายถึง มองทุกอย่างในแง่บวก หรือ สนใจแต่มุมมองทางด้านบวกของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่ยังมีอีก 1 คำในภาษาอังกฤษ คือ Optimism คำนี้ยังไม่มีภาษาไทยตรงๆ แต่หมายถึง การรู้จักวางตัว เลือกใช้ชีวิต ในรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อก่อให้เกิดความสุขและประโยชน์แก่ชีวิต และต่อไปนี้ เราจะมาพิจารณาดูกันเฉพาะ Optimism ที่ขอใช้คำว่าคิดบวกแทนในภาษาไทย
แต่ยังมีอีก 1 คำในภาษาอังกฤษ คือ Optimism คำนี้ยังไม่มีภาษาไทยตรงๆ แต่หมายถึง การรู้จักวางตัว เลือกใช้ชีวิต ในรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อก่อให้เกิดความสุขและประโยชน์แก่ชีวิต และต่อไปนี้ เราจะมาพิจารณาดูกันเฉพาะ Optimism ที่ขอใช้คำว่าคิดบวกแทนในภาษาไทย
แหล่งที่มาของการคิดบวก
การคิดบวก ไม่ได้มีแหล่งจากความคิดเพียงอย่างเดียว เพราะความคิดของมนุษย์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก แต่การคิดบวกมีผลลัพธ์ออกมาเป็นอารมณ์ และการกระทำ ซึ่งตมควมคิดของมนุษย์ไม่ทัน ดังนั้น ในการได้ผลลัพธ์ของการคิดบวก จึงมีแหล่งของความคิดบวกมากกว่าความคิด
1. สติ เป็นแหล่งความคิดบวกที่สำคัญที่สุด เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว เรามีหน้าที่ในการเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆ ดังนั้น สมองเราจะมองทุกอย่างเป็นเรื่องอันตราย นั่นหมายถึงการคิดลบ เพราะ คิดลบคืออันตราย และเราต้องการเอาตัวรอด ถ้าเราไม่มีสติ สมอจะจัดการเองแบบอัตโนมัติเพื่อการอยู่รอด จริงๆ การคิดลบก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน เพราะถ้าเราไม่มีการคิดลบเลย และไม่มีสติเป็นตัวควบคุม มนุษย์เราจะมีอันตรายเข้ามาในชีวิตมากมาย จนอาจจะจะต้องสูญเสียเผ่าพันธุ์ไปเลยทีเดียว แล้วสติ เกี่ยวอะไรด้วยหละ?
สติ เป็นตัวแยกแยะเรื่องต่างๆ ด้วยเหตุผลำดับแรกของมนุษย์ ทำหน้างานว่าสิ่งที่ตรงหน้าเราคืออะไร แล้วจึงนำมาประเมินค่าอีกครั้งหนึ่ง การมีสติ หลายครั้งก็จะเรียกว่าการดูเนื้อรู้ตัว สติเป็นตัวช่วยที่ตัดสินว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นมีประโยชน์อย่างไรการคิดบวกจึงเริ่มจากตรงนี้คือเลือกสิ่งที่ดีที่สุดจากการคิดไตร่ตรองว่าสิ่งนั้นสร้างประโยชน์มากขึ้นกับตัวเราด้วยวิธีไหนได้บ้าง
2. รอยยิ้ม มนุษย์ใช้รอยยิ้มเป็นการแสดงออกทางอารมณ์ต่อเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามากระทบต่อเราเอง และเราใช้รอยยิ้มจนเป็นสิ่งที่สมองรับรู้ว่าเมื่อเรายิ้ม ต้องมีสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับเราเอง ดังนั้นเมื่อเวลาเรายิ้มสมองก็จะบอก กับเราว่า ตอนนี้ฉันกำลังมีความสุข หมายถึง ฉันกำลังมีเรื่องดีดีเกิดขึ้นในชีวิต ฉันจึงยิ้มออกมาได้ แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลก ร่างกายสามารถบังคับความคิด และความรู้สึกได้ เมื่อเรายิ้มกว้างๆ สมอง จะไม่สามารถคิดถึงเรื่องทุกข์ใจได้เลย
ตรงนี้แหละ จะเป็นจุดกำเนิดของความคิดบวก เพราะว่าสมองเปิดรับแต่สิ่งดีๆ แล้วก็จะมองหาแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ การคิดบวก เป็นวิธีการคิด ที่มองแต่สิ่งที่ได้ประโยชน์กับชีวิตของเรา บนโลกของความเป็นจริง การใช้รอยยิ้มจึงเป็นการเปิดประตู เป็นความจริงที่มีประโยชน์เข้ากับชีวิต
3. การขอบคุณ เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่มีความอัศจรรย์กับชีวิตมนุษย์อีกเรื่องหนึ่ง เพราะคำขอบคุณนั้น เป็นคำเชิงบวกที่ทรงพลังที่สุด ในชีวิตของมนุษย์ เวลาที่เรากล่าวขอบคุณใครสักคนด้วยความจริงใจ ความรู้สึกนั้น ช่างเป็นไปด้วยความสุข ความอิ่มเอม และการรู้ซึ่งถึงความมีคุณ ของคนอื่นที่มีต่อเรา เป็นการกล่าว ที่เราอยู่ในช่วงอารมณ์เป็นการได้รับอย่างเต็มเปี่ยม เราถึงกล่าวคำว่าขอบคุณ ในการขอบคุณนั่นเอง เราสามารถเพิ่มพลัง ของการขอบคุณได้ด้วยการให้เหตุผลของการขอบคุณ ยกตัวอย่าง การกล่าวขอบคุณ
ให้เราขอบคุณอาหารที่เราทาน เพราะว่า “อาหารเหล่านี้ มาจากสิ่งมีชีวิตหลากหลายชีวิต ซึ่งชีวิตเหล่านั้น ต้องเสียสละชีวิต ของตนเอง มาเป็นอาหารให้กับเรา ให้เราได้มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อสร้างสิ่งดีดีให้เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ขอขอบคุณ อาหารเหล่านี้ เจ้าของชีวิตเหล่านี้ ที่ได้เสียสละชีวิตให้กับเรา ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ
ฟังดูเหมือน เอาที่เราต้องขอบคุณอาหารขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างแต่จริงๆ แล้วลอง สังเกตอารมณ์ของเราเองดูสิ ณ เวลาที่เรารู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจกับอะไรบางอย่างหรือกับใครสักคนอย่างจริงๆ เราจะเห็นว่าสิ่งนั้นหรือคนนั้นมีแต่ประโยชน์ มีแต่เรื่องดีๆ มีแต่คุณค่าให้กับชีวิตของเราทั้งนั้นเลย
4. คำพูดของเรา สมองของเราจะมีการบันทึกข้อมูลอยู่ตลอดเวลาผ่านทางการสัมผัสการคิดและการพูดของเราเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูดสมองก็จะมีการจดจำดังนั้น การใช้คำพูดเชิงสร้างสรรค์สมองก็จะบันทึกข้อมูลดีๆ สิ่งดีๆ เอาไว้ในร่างกายของเรา ในข้อมูลดีดีนี้รวมไปถึงการกล่าวชื่นชม การพูดเพราะการพูดแต่ความจริง ในทางตรงกันข้ามหากเราบ่น หรือพูดจาหยาบคายพูดจาด่าว่าคนอื่นคนที่ได้ยินเป็นคนแรกก็คือเราเอง คำพูดเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนสมองก็จะมีการทำงานที่เหมือนกัน ลองสังเกตสีหน้าคนบ่นพวกเขาเหล่านั้นน่าจะยุ่งยุ่งคิวจะชนกันรอยยิ้มจะไม่มีและอารมณ์ก็จะหมองหม่น แค่บ่นสมองก็เริ่มบันทึกข้อมูลที่เป็นเชิงลบเข้าไปสมองแล้ว
คำพูดอีกลักษณะหนึ่งที่อันตรายต่อความคิดเชิงบวกเป็นอย่างมากคือ "การประชดประชัน" การประชดเป็นการทำในสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความต้องการของเราเองเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าเรากำลังไม่พอใจยิ่งทำให้สมองเราต้องบันทึกทั้งคำพูดการกระทำอารมณ์ในสิ่งที่เราไม่ชอบเป็นทางตรงกันข้ามกับความสุขของเราทั้งหมด ดังนั้นการประชด เป็นตัวทำลายความรู้สึกดีๆ ที่มีอยู่ทั้งหมดของเราเองและเป็นการทำลายความสัมพันธ์กับคนอื่นด้วย การใช้คำพูดอย่างไรให้เป็นคำพูดสำหรับคนคิดบวกสรุปก็คือพูดแต่ความจริง พูดจาไพเราะ กล่าวขอบคุณบ่อยๆ กับทุกๆ เรื่อง ทุกๆสิ่งที่เข้ามาหาเรา กบ่าวขอโทษ กล่าวชื่นชมในสิ่งที่เราพบ และพูดด้วยคำที่ไพเราะ
5. อารมณ์ขัน หลายคนเข้าใจผิดว่าการทำงานที่จริงจังจะต้องเคร่งเครียด ห้ามยิ้ม ห้ามเล่น แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เลย เพราะการที่เราเรียนรู้ที่จะเล่น นั่นแปลว่า เรากำลังมีความสุขกับช่วงเวลานั้นอยู่ ลองมาคิดดูนะว่า ในช่วงที่เรามีอารมณ์ขันนั้น เราคิดเรื่องร้ายๆ ได้หรือไม่ ไม่แน่นอน และการเล่น มีใครบ้างที่เล่นให้เครียด อารมณ์ขันจึงเป็นช่วงเวลาที่สมองได้บริหารความคิดให้มีการหยุดจากดคร่งเครียดในปัจจุบัน มามองหาสิ่งที่สนุกที่อยู่ต่อหน้า และเลือกที่มองไปยังสิ่งสนุกเหล่านี้
กระบวนการตรงนี้ เป็นกระบวนการคิดบวกของงมนุษย์ คือการเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์เข้าร่างกายและชีวิตของเรา กับสิ่งที่เผชิญอยู่ต่อหน้า เมื่อเราหัดมีอารมณ์ขันบ่อยๆ สิ่งที่เกิดตามมาคือ สมองของเราจะถูกฝึกให้มาจินตนาการและการสร้างทางเลือกให้เก่งขึ้น จึงมีความสามารถในการเลือกและมองสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ดีขึ้น และเลือกเก่งขึ้นแบบไม่รู้ตัว มีใคนบ้างในขณะที่มีอารมณ์ขันแล้วความคิดเคร่งเครียดมากขึ้น ไม่มีแน่นอน!!! เพราะสมองได้ทำงานเสร็จแล้วว่า ฉันกำลังมีความสุข
การทำงานของการคิดบวก
การคิดบวก เป็นการทำงานของสมองที่มีความรวดเร็วมาก เพราะสมองจะสั่งงานออกไปในเวลาอันสั้น บ้างครั้งเราเองยังไม่ทันได้ตัดสินใจอะไรเลย สมองของเรา (ส่วนที่เป็นอัตโนมัติและสัญชาติญาณ) ก็ทำงานไปเรียบร้อยแล้ว การคิดบวกจึงขึ้นอยู่กับว่า ใครจะทำงานได้เร็วกว่ากัน ระหว่างสมองคิดวิเคราะห์ กับสมองแบบอัตโนมัติ ลองมาดูวิธีคิดของสมอง แบบการจำลองเหตุการณ์จากสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วๆ มาเป็นแผนภาพดูบ้าง
สิ่งที่พบ หรือทางภาษาจิตวิทยาเรียกว่าสิ่งเร้า จะเข้ามาทำปฏิกริยากับสมอง โดยสมองของมนุษย์นั้น มีความชาญในการตัดสินทันทีว่า สิ่งนั้นเป็นอันตรายต่อเราหรือไม่ แน่นอนที่สุด การเอาตัวรอดย่อมทรงพลังกว่ามาก จึงทำให้เราตั้งกำแพงแห่งการคิดเอาไว้ก่อน เป็นกำแพงแห่งการคิดลบ กำแพงนี้ เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เพื่อให้เรามีชีวิตรอดต่อไปได้ แต่การคิดบวกจะมาก็ต่อเมื่อเราต้องมีสติในการเลือก เลือกอะไรเหรอ ก็เลือกในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นประโยชน์กับชีวิตของเราหน่ะสิ
กลไกอันชาญฉลาดของสมองของเราจะเริ่มทำงานทันที เมื่อเรารู้สึกว่าได้ เราจะมีความสุขเล็กๆ เกิดขึ้นในสมอง และเราก็จะมีอารมณ์ดีตามทันที อะไรๆ ก็ดีไปหมด ณ เวลานั้นเอง อารมณ์ทางบวกก็ปรากฎขึ้นเราเรียกว่า การคิดบวก แต่อย่างไรก็ตามประเด็นอยู่ที่ว่า เราจะสามารถรักษาวิธีคิดแบบนี้ได้บ่อยแค่ไหน เพราะว่า เราต้องเจอเรื่องราว ผู้คนต่างๆ มากมายใกล้ตัว ทำให้เราต้องรับรู้สิ่งต่างๆ และทำการตัดสินตลอดเวลา ดังนั้น การคิดบวกต้องได้รับการฝึกฝนเป็นทักษะ ยิ่งทำบ่อย ยิ่งเก่ง ยิ่งทำบ่อย ยิ่งคิดบวก ความคิดของมนุษย์ มันช่างเกิดได้รวดเร็วมาก ดังนั้นเมื่อเราเผลอ เราจะกลับไปโหมดเริ่มต้นของมนุษย์ทันทีคือการเอาตัวรอด เป็นการคิดลบในทันที
คิดบวกแพร่ถึงกันได้
เป็นเรื่องน่าแปลกมากที่การคิดบวกนั้นสามารถส่งต่อกันได้ระหว่างคน และยังสามารถลดทอดได้ด้วยเช่นเดียวกัน อยู่ที่ว่าใครจะเข้มแข็งกว่ากัน เมื่อคนที่คิดบวก มีความเข้มแข็ง (วัยรุ่นเรียกว่า สตรอง) จะทำให้คนรอบข้างติดเชื้อการคิดบวกไปด้วย (แต่เป็นเชื้อดี เชื้อที่ทำให้มีความสุข) เรียกว่า อยู่ใกล้ใครก็เป็นแบบนั้น แต่ถ้าคนคิดบวกที่สตรอบไม่พอพอไปอยู่กับคนคิดลบ จะติดเชื้อคิดลบไปด้วย อ้าวแล้วจะเกิดไรขึ้นหละ?
คำตอบคือ เราก็จะสูญเสียทักษะการคิดบวกไปในทีสุด เพราะความคิดลบ เป็นโหมดพื้นฐานของมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์พร้อมที่จะกลับไปโหมดคิดลบได้ตลอดเวลา แต่อย่าวไรก็ตามคนที่ฝึกฝนการคิดบวกบวกบ่อยๆ จะมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างให้คนที่อยู่รอบข้างเข้ามาหา เพราะเป็นคนที่ทำให้คนรอบข้างมีความสุขตลอดเวลา เรียกได้ว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของมนุษย์ ซึ่งในอีกแง่มุมหนึ่ง การคิดบวกเป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐาน ของการเป็นผู้นำ ผู้นำคืนคนที่สามารถโน้นน้าวให้คนอื่นทำตามสิ่งที่ตนเองต้องการได้ จึงต้องมีพลังบางอย่างในการดึงดูดคนเข้ามา พลังแห่งการคิดบวกจึงเปรียบได้กับแม่เหล็กของผู้ประกอบการให้คนอื่นๆ ทำตามที่ต้องการได้
วิธีการรักษาพลังการคิดบวกให้คงอยู่จนสามรถถ่ายทอดไปยังคนอื่นได้นั้น ทำไม่ยาก แค่เริ่มต้นด้วย
1. ใส่ความตั้งใจ คนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ต้องมีความตั้งใจก่อน เป็นเหมือนน้ำมันเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนภายในของตัวเรา
2. ทำลายความคิดเดิมๆ เมื่อเราอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง เราต้องเข้าใจก่อนว่า ในอดีตที่ผ่านมาเราคิดลบนั้น เป็นการสร้างข้อมูลบาวอย่างในสมองของเราเกี่ยวกับการคิดลบ เราต้องทำลายความรู้สึกที่เราเคยชอบในการคิดลบ เช่น ประชดเพราะสะใจเพื่อต้องการสะใจ บ่นเพื่อได้ระบายแล้วจะดีขึ้น แก้แค้นเพราะต้องการเอาคืน โดยการสั่งความรู้สึกตัวเองว่า “ฉันเกลียดการคิดลบ” “ความคิดลบคือสิ่งเลวร้าย” ทำแบบนี้ทุกวัน และทุกครั้งที่เกิดความคิดลบเกิดขึ้นในสมอง และไม่ต้องเสียใจที่ความคิดลบเกิดขึ้น แต่ให้เรารู้สึกเกลียดความคิดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ติดต่อกันอย่างน้อย 21 วัน คิดลบเมื่อ ท่องไว้กับตัวเอง “ฉันเกลียดคิดลบ”
3. ใส่ความเชื่อใหม่ๆ เมื่อเราต้องการความคิดบวก เราต้องบอกตัวเองว่า “เราคือคนที่คิดบวก” “เราคือคนที่เจ๋งที่สุด” “เราคือคนที่สร้างสิ่งสวยงามให้โลกใบนี้” บอกตัวเองเรื่อยๆ เสมอๆ บอกทุกครั้งที่คิดได้ ทำต่อเน่ือง 21 วัน ควบคู่กับการทำลายความเชื่อเก่า
4. ยิ้มกว้างๆ การยิ้ม คือการบอกกับต้วเองว่าฉันกำลังมีความสุข เป็นการใช้ร่างกายให้สั่งสมองอีกครั้งดังนั้น เมื่อเราเครียด ก็แค่ยิ้ม ยิ้มให้กว้างๆ ยิ้มให้หมดทั้งใจ หมดให้เห็นฟัง ลองทำดูสิ ยิ้มตอนนี้เลย รู้สึกดีขึ้นมั้ยหละ
5. พูดแต่คำเพราะๆ การพูดดีๆ คือการให้เกียรติตัวเองและคนอื่น เราจะรู้สึกทันทีว่า เรามีคุณค่าในตัวเอง สมองเรา ก็จะรับรู้ว่าเราได้ประโยชน์อะไรบางอย่างทันที ลองคิดดูว่า การที่เราพูดหยาบคายเพื่ออะไร ส่วนใหญ่เป็นความต้องการให้รู้สึกว่าเราเหนือกว่าคนอื่น นั่นหมายความว่า เราก็กำลังอยู่ในสภาวะสูญเสีย จึงพยายามปกป้องตัวเองด้วยการใช้คำพูดหยาบคาย การพูดเสียดสี การพูดประชด เราจึงต้องทำในสิ่งตรงข้ามทันที เพื่อให้สมองไม่รับรู้ว่าเราด้อยค่าโดยไม่รู้ตัว
6. ขอบคุณทุกครั้งที่มีโอกาส ทั้งทางคำพูดและความคิดขอบคุณแบบขอบคุณจริงๆ
7. อย่าทนเมื่อไม่พอใจ เพราะการทน คือการอยู่ในสภาวะของการอยู่ในจุดที่ร่างกาย หรือความคิดไม่สบาย ไม่สะดวก หรือ ไม่ต้องการ การทน เหมือนกับการเติมลมเข้าไปในลูกโป่ง ที่สามารถอัดเข้าไปได้เรื่อยๆ แต่จะมีจุดที่เต็มในที่สุด และเมื่อมากกว่านั้น จะระเบิดเอาของเก่าที่สะสมไว้ออกมาด้วยทั้งหมด วิธีการจัดการกับการทน มีอยู่ 2 วิธี คือ จัดการต้นเหตุแห่งการทน โดยการเกา แต่ถ้าเกาไม่ได้ ก็สนุกกับกับเหตุนี้ซะเลย เช่น ข้างบ้านเปิดเพลงเสียงดัง ก็ เดินไปบอกตรงๆ ว่าเสียงดัง ถ้าจัดการไม่ได้ ก็สนุกไปกับเสียงเพลงที่ได้ยิน เพราะถ้าต้องทนกับเสียงเพลง สุดท้ายจะทะเลาะกัน หรือถึงขั้นลงมือลงไม้ทำร้ายกันในที่สุด
ร่างกายกับการคิดบวก
สิ่งอันตรายที่ทำลายความคิดบวกคือ การเจ็บป่วย และความเจ็บปวดทางร่างกาย เมื่อเราป่วย อะไร อะไร ก็แย่ไปซะทุกอย่าง ทั้งการเคลื่อนไหว ความคิดและจิตใจ อะไรที่ทำให้เราให้สูญเสียความสามารถในการคิดบวกหละ ก็ร่างกายที่อยู่ในสภาวะแย่ๆ ไงหละ
มีคำกล่าวกันว่า คนเราจะแสดงนิสัยแท้จริง ออกมาใน 3 ช่วงเวลา คือ หิวจัด เหนื่อยจัด และ ง่วงจัด จริงๆ ขอแถมให้อีกเรื่องหนึ่งคือ เครียดจัด เหตุเพราะ ในช่วงเวลาดังกล่าว ร่างกายรับรู้ว่าอยู่ในช่วงที่กำลังเป็นอันตรายมาก
หิว หมายถึง ร่างกายกำลังขาดอาหาร สมองจะบอกว่า ถ้ามายุ่งมากๆ จะเสียพลังงานมากขึ้น จึงไม่ต้องการจะใช้พลังงานร่างกายมากไปกว่านี้ ผ่านการกระตุ้นของกระเพาะอาหาร จริงๆ แล้วมนุษย์เรายังสมารถอยู่ไดเอีก 30 วัน ถ้าไม่ได้รับอาหาร แต่เราได้รับอาหารจนชิน เมื่อหิวจัดจึงโมโหออกมา
เหนื่อย เป็นสภาวะ ที่ร่างกายรับรู้ว่า สูญเสีย พลังงานมากเกินไปต้องจัดการอะไรบางอย่างให้ลดภาวะการสูญเสียพลังงาน เวลาคนเหนื่อย จึง มักจะทำอะไรบางอย่างให้ได้รับการพักผ่อนให้เร็วที่สุด
ง่วง เป็นสภาวะการที่คล้ายกับเหนื่อย เพราะกลไกของร่างกาย จะบังคับให้เราต้องได้การนอนเพื่อปรับสภาพร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมดุล คนที่อดนอนจึงมีอาการผิดปกติหลายอย่างที่เกิดขึ้นเสมอ
เครียด เป็นสภาวะที่ร่างกายและสมองรับรู้ว่าอยู่ในสภาวะที่ไม่อยากได้อะไร บางอย่าง เป็นอันตราย ยิ่งอันตรายมากเท่าไหร่ ยิ่งเครียดมากเท่านั้น สมองจึงสั่งการให้ร่างกายต้องแสดงออก หรือจัดการอะไรบางอย่าง เช่น การก้าวร้าว การโวยวาย เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ
แล้ว เราจะทำไงดีหละ? ก็ไม่ยากเท่าไหร่หรอก เราจัดการได้อยู่แล้วเพราะ เราต้องทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่แย่ๆ คือ
อย่าปล่อยให้ตัวเองหิวและอิ่มจนเกินไป แต่คงไม่ใช่พวกหิวตลอดเวลาแน่นอน คือ ไม่ให้ตัวเองหิวจัด มีบางคนเวลาทำงานแล้วไม่ยอมกิน เราใช้การกิน เพื่อให้มีชีวิตต่อไป และต้องกินให้ดีซึ่งหมายถึงการกินอาหารที่สอง และมีความหลากหลาย ไม่กินซ้ำๆ อยู่แต่อย่างเดิม หรือกินแต่อาหารสำเร็จรูป ที่สารอาหารไม่ครบตามที่ร่างกายต้องการ และที่สำคัญ ต้องกินอาหารให้มีปริมาณที่พอเหมาะกับตัวเอง เรียกว่า กินอาหารให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ใช่กินแค่อยู่ท้อง หรือกินเพราะอร่อยปาก การกินให้ดีไม่ใช่กินของแพง แต่เป็นการกินให้ครบ
ไม่ปล่อยให้ง่วงจัด หรือเรียกว่า พักผ่อนให้พอ (แต่คนส่วนใหญ่จะอยู่ในจำพวกนอนไม่เคยพอ) การพักผ่อนเป็นเรื่องใหญ่ของมนุษย์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายปรับสภาพให้มีความพร้อมในการทำงานต่อไป เมื่อมนุษย์อดนอน จะกระทบต่อการควบคุมอารมณ์ การตัดสินใจ ฮอร์โมนในร่างกาย จนไปถึงอาการเจ็บป่วย หลายครั้ง คนเราถึงเวลานอนไม่ยอมนอน ถึงให้ถึงเวลาตื่นไม่ยอมตื่น เราต้องมีวินัยในตนเอง รู้จักหยุดทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ และพักผ่อน ในเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
ไม่ทนต่อความเจ็บป่วย หลายครั้ง คนเวลาพอถึงเวลาเจ็บป่วยชอบคิดว่าความเจ็บป่วยนั้นจะหายเอง และยังใช้ชีวิตตามปกติ หรือ ใช้การนอนเฉยๆ เพื่อให้ความเจ็บป่วยนั้นจะหายไปเอง วิธีการนี้สามาถใช้ได้กับเพียงบางอาการเจ็บป่วย เช่นเป็นหวัดเล็กน้อย แต่บางอาการไม่สามารถหายเองได้ หรือหายได้ต้องใช้เวลานาน เช่นไข้หวัดใหญ่ เราควรจะต้องรู้ตัวเองว่า การเจ็บป่วยแบบไหน ควรรักษาตัว เช่น เวลาที่ไข้สูง หรือเวลาที่มีอาการแปลกๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วเวลาเจ็บป่วย ต้องกินอาหารเพื่อให้ร่างกายได้มีสารอาหารเข้าไปซ่อมแซมภายใน โดยเฉพาะโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่นเนื้อปลาและเนื้อไก่
การรักษาอารมณ์เชิงบวก จึงต้องรู้จักการรักษาทางด้านความคิดและการรักษาร่างกายให้อยู่มีความพร้อมตลอดเวลา ไม่ให้ร่ายกายอยู่ในความทุกข์ เพราะร่างกายเป็นเครื่องมือและที่อยู่ของจิตใจ ถ้าร่างกายไม่ดีแล้ว ใจของเราก็ได้บ้านได้ที่อยู่อาศัยที่ไม่ดีด้วยเช่นเดียวกัน
“ขอให้มีความสุขกับการคิดบวกในทุกๆ ช่วงเวลา”
“ขอให้มีความสุขกับการคิดบวกในทุกๆ ช่วงเวลา”