.
.
สาเหตุของการการที่ทำให้ประสิทธิภาพลดลง จะเกิดด้วยหลายอย่าง ทั้งจากตัวเอง และคนที่อยู่รอบข้าง ดังนี้
.
.
1. อยู่บ้านมีคนที่บ้านคนกวน ยิ่งบางคนมีลูกที่ยังเล็กอยู่ ยังต้องการการดูแลตลอดเวลา เมื่อเห็นว่า มีพ่อแม่อยู่บ้าน ก็อยากจะอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา ทำให้เข้ามากวน เข้ามาหา เพราะเด็กๆ ไม่เข้าใจว่า พ่อแม่ต้องการสมาธิ และเวลาในการทำงาน
.
.
2. ภาพจำ หรือ Mindset กับบ้าน หลายคนรู้สึกว่า บ้านคือที่พักผ่อน เวลาทำงานเสร็จ จะไม่เอางานมาทำที่บ้าน บ้านคือที่ปลดปล่อยความเครียด ดังนั้นเมื่ออยู่บ้านจึงไม่มีแรงขับ แรงใจในการทำงานที่บ้าน และรู้สึกว่า ไม่มีพลังจะทำอะไรเลย
.
.
3. เหนื่อยจากการทำงานที่ผ่านมามาก เมื่อมีโอกาสได้อยู่บ้าน จะรู้สึกว่าอยากพักผ่อน พอได้โอกาสอยู่บ้านก็เลย ถูกสิ่งที่อยู่ในใจสั่งให้พักอยู่บ้าน
.
.
4. นิสัยส่วนตัวที่ต้องมีคนคอยการกระตุ้น เมื่ออยู่คนเดียว หรือ อยู่กับคนที่บ้านที่ไม่มีคนมากระตุ้น ทำให้ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
.
.
5. ความขี้เกียจส่วนตัว เผลอไม่ได้ แว้บทุกที ทั้งที่อยากจะทำงาน แต่ร่างกายไม่ยอมไป รวมถึง ที่บ้านมีอาหารตุนไว้เยอะ เลยเพลิดเพลินกับอาหารมากกว่าการทำงาน
.
.
เทคนิคที่จะช่วยให้เราสามารถสร้างวินัยในตัวเองในการทำงานที่บ้าน เพื่อให้มีผลงานได้แม้จะต้องทำงานอยู่บ้านตามลำพังสมารถทำได้โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ การจัดสภาพแวดล้อมใหม่ และการสร้างระบบคิดให้กับตัวเองใหม่
.
.
การจัดสภาพแวดล้อมใหม่
.
1. ให้เราจัดส่วนในบ้านที่เป็นส่วนของการทำงาน บางคนใช้โต๊ะทานอาหาร โต๊ะเครื่องแป้ง หรือบางมุมของเตียงนอนมาเป็นมุมทำงาน แบบนั้นจะทำให้การทำงานไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องเพราะว่า โตีะเหล่านี้ไม่ไดู้กออกแบบมาให้ทำงานได้ระยะเวลานานจะทำให้เกิดการเมื่อยล้าได้ง่าย ดังนั้น จึงต้องจัดมุมทำงานให้เป็นกิจลักษณะ เหมือนมีมุมทำงานอยู่ที่บ้าน มีอุปกรณืสำนักงานที่จำเป็นให้พร้อม อย่าทำแบบชั่วคราว เพราะอาจจะต้องทำงานอยู่บ้านหลายวัน
.
.
2. อยู่ห่างจากเตียงนอน และแหล่งของอาหารให้มากที่สุด เพราะเมื่อเราทำงานอยู่บ้าน บางคนอาจจะมีแอร์ อาจจะสบายเกินไป บางคนไม่มีแอร์ เมื่ออากาศร้อนทำให้เกิดการอ่อนล้าได้ง่าย เมื่อเราอยู่ใกล้เตียงนอนแล้ว ทำให้เดินไปนอที่เตียงได้ง่าย ก็หลับไปเลย บางคนของีบเดียว แต่งีบนี้อาจจะยาวยันเช้าเลยก็ได้ และที่ต้องห่างจากแหล่งอาหารเพราะ เมื่อทำงานไปสักพัก ร่างกายจะรู้สึกต้องการน้ำตาล จึงทำให้พยายามหาทุกอย่างที่ตุนไว้มาทานได้ อันนี้ต้องสร้างอุปสรรคืในการทานอาหารบางอย่าง
.
.
3. อย่าใส่ชุดที่สบายจนเกินไป เพราะชุดที่สบายๆ ให้ความรู้สึกพักผ่อน แต่เรายังไม่ได้พักผ่อน แต่เป็นการทำงาน แค่เปลี่ยนที่ทำงานเป็นการทำงานที่บ้าน แม้ว่าจะไม่ต้องใส่ชุดทำงาน แต่ก็ควรจะใส่ชุดที่มีการรัดอยู่บ้างเพื่อให้ร่างกายตื่นตัว หรือจะลุกขึ้นมาใส่ชุดที่เหมือนการไปทำงานโดยปกติเลยก็ไม่เป็นไร แค่ไม่ใส่ชุดนอน หรือชุดอยู่บ้าน ก็พอ เพราะบางครั้ง เกิดมีวีดีโอคอล จะทำให้เราอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมในการเจอคนอื่นก็ได้
.
.
4. มีบัดดี้ในการทำงาน หรือทีมในการทำงานด้วยกันเสมอ สร้างระบบการทำงานเป็นทีม (อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ การบริการทีมงานในภาวะตื่นตระหนก ) เพื่อให้เป็รแรงกระตุ้นในการทำงานร่วมกัน อย่าปล่อยให้อยู่คนเดียว เพราะจะเสียกำลังใจและบรรยากาศในการกระตุ้นการทำงานได้ง่าย และยังเป็นการช่วยเหลือกันในการทำงาน เช่น การสอนการใช้เทคโนโลยี การสอนวิธีการส่งไฟล์ ส่งข้อมูลข่าวสารผ่านเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึง วิธีการหาเทคนิคการสื่อสารในทีมงานที่เหมาะสมที่สุด
.
.
5. มีออกกำลังกายเบาๆ ในตอนเช้า และตอนเย็น เพราะการทำงานที่บ้านทำให้เราได้เคลื่อนไหวร่างกายน้อย ยิ่งทำให้ร่างกายเคยชินกับการอยู่นิ่งๆ ดังนั้น การออกกำลังกายเป็นการชดเชยการเคลื่อนไหวที่เราต้องไปทำงานที่ทำงาน และสร้างการตื่นตัวให้กับตัวเองด้วย โดยเฉพาะการออกกำลังกายตอนเช้า ข้อดีอีกประการคือ ช่วยให้ไม่อ้วนเมื่อต้องอยู่บ้านเป็นเวลานานๆ
.
.
6. พูดคุยกับคนที่ต้องอยู่ที่บ้านให้เข้าใจว่า กำลังทำงาน ไม่ได้อยู่บ้านเพราะหยุดงาน และหากิจกรรมให้ครอบครัวทำเพื่อเป็นการลดการรบกวน
.
.
7. ไม่เปิด Social Network ค้างไว้กับเครื่องคอม แต่ให้เปิดดูเฉพาะตอนที่พักเท่านั้น เพราะสิ่งนี้ทำให้สมาธิของเราหลุดออกจากการทำงานได้ง่ายที่สุด แต่ไม่ต้องกลัวคนที่จำเป็นต้องติดต่อกับคนอื่น เพราะเรามีอุปกรณ์การสื่อสารมากมาย ที่อยู่ในโทรศัพท์มือ มีการแจ้งเตือน และสามารถโทรหากันได้ตลอด ยกเว้นคนที่ใช้ Social Network ในการประสานงานกันตลอดเวลาในการทำงาน เช่นการประชุม การส่งข้อมูล การส่งงานกัน
.
.
การจัดการระบบคิดใหม่
.
1. การทำงานที่บ้านไม่ใช่วันหยุด ต้องทำงานตามปกติ ถ้าไม่มีการทำงาน ก็ไม่มีรายได้ ถึงยังมีรายได้ บริษัทก็จับตามองเราอยู่ บริษัทรู้หมดว่าใครมีพฤติกรรมแบบไหน ทั้งจากผลงาน การติดต่อ สามารถนำมาประเมินได้ ดังนั้น หลายบริษัทใช้โอกาสนี้ในการประเมินผลงาน หรือการขึ้นตำแหน่งในช่วงเวลาที่เป็นปกติ
.
.
2. กำหนดเวลาเข้าออกงาน แต่ตารางงานของตัวเอง ต้องไม่ลืมว่า เรายังทำงานอยู่ แม้ว่าจะอยู่ที่บ้านก็ตาม หลายคนคิดว่า อยู่บ้านก็ดี ทำงานงานบ้านที่ค้างคาเอาไว้ให้หมด จนมากินเวลาทำงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ แต่จริงๆ แล้ว เราสามารถใช้เวลาที่เราไม่ต้องเดินทางไปทำงานมาทำความสะอาดบ้าน และเป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย
.
.
3. มีเป้าหมายในการทำงานแต่ละวัน ให้ตั้งเป้าหมายการทำงานว่า วันนี้จะทำอะไรให้สำเร็จ เสร็จเมื่อไหร่ กี่โมง เหมือนมีหัวหน้า หรือเจ้านายคอยตามงานตลอดเวลา สร้างแรงกดดันเล็กๆ ให้กับตัวเอง เพื่อให้เป็นแรงกระตุ้นในการทำงาน และฉลองเล็กๆ เมื่อทำงานเสร็จ เช่น ฉลองโดยการส่งข้อความไปบอกเพื่อนในทีม แล้วทุกคนก็แสดงความยินดีร่วมกัน แต่ไม่ควรชวนกันออกไปฉลองข้างนอก
.
.
4. ชมตัวเองทุกครั้งที่ทำงานสำเร็จ และในกรณีที่ไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้ ให้วิเคราะห์สาเหตุที่ไม่สำเร็จแล้วจัดการปรับปรุง แก้ไข วางแผนใหม่ และต้องใม่ละเลย การทำงานชดเชยจนเสร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
.
.
5. ไม่สร้างข้ออ้างให้กับตนเอง เมื่อต้องเจอการเปลี่ยนแปลง หลายคนไม่เคยทำงานที่บ้านมากก่อน และไม่เข้าจเทคโนโลยี ต้องคิดในใจว่า ไม่เป็นไร เราสามารถเรียนรู้ได้ เราสามารถก้าวข้ามความแปลกใหม่ได้ อีกไม่นาน เราจะทำได้ แค่ติดขัดนิดหน่อยในการเริ่มต้นเท่านั้น
.
.
วิธีการต่างๆ นี้จะช่วยให้การทำงานที่บ้านมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จริงๆ แล้ว หลายคนอาจจะมีวิธีการสร้างวินัยให้กับตนเองอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ละคนสามารถออกแบบวิธีการของตัวเองได้ เพื่อให้การทำงานยังสามารถเป็นไปได้ตามปกติ เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป
-----------------------------------------------------------------------------
พูดคุยกับผู้เขียนเพื่อเป็นกำลังใจได้ที่
Facebook Page Dr.Nara Kittimetheekul
https://www.facebook.com/DrNaraKittimetheekul